วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

1.2 ทัศนศิลป์สากล



ใบความรู้ ที่ 2

เรื่อง ทัศนศิป์สากล

ทัศนศิลป์สากล ความหมายของศิลปะและทัศนศิลป์ 
ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆให้ปรากฏซึ่งความสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของบุคคลแต่ละคนนอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ นักการศึกษา ท่านผู้รู้ ได้ให้ความหมายของศิลปะแตกต่างกันออกไป เช่นการเลียนแบบธรรมชาติ การแสดงออของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์   และศิลปะคือ การสื่อสารอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์  การระบายความปรารถนาในใจของศิลปินออกมา การแสดงออกของผลงานด้านต่างๆที่สร้างสรรค์
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับมนุษย์
การสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็นกิจกรรมพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ การสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์เชื่อว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคหินหรือประมาณ 5000,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ เพิงผา ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหาร โดยมากศิลปะจะเป็นภาพวาด ซึ่งปรากฏตามผนังถ้ำต่างๆ เช่น ภาพวัวไบซัน ที่ถ้ำอัลตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสัตว์ชนิดต่างๆที่ถ้ำลาสล์โก ในประเทศฝรั่งเศส สำหรับประเทศไทยที่พบเห็น เช่นผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี
 ประเภทของงานทัศนศิลป์   สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.  จิตรกรรม
2.   ประติมากรรม
3.    สถาปัตยกรรม
4.     ภาพพิมพ์
จิตรกรรม
จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร
จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลงบนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียนภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลาก ป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ
ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่ามีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือมนุษย์ ซึ่งมักจะกำลังล่าสัตว์
จิตรกรรม  สามารถจำแนกได้ตามลักษณะผลงานที่สิ้นสุด และวัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน
จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาดเขียน ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่า ดรออิ้ง ก็มี ปัจจุบันได้มีการนำอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน
จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติ บนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีซึ่งมักจะต้องมีสื่อตัวกลางระหว่างวัสดุกับอุปกรณ์ที่ใช้เขียนอีก ซึ่งกลวิธีเขียนที่สำคัญ คือ
1.  การเขียนภาพสีน้ำ (Color Painting)
2.  การเขียนภาพสีน้ำมัน (Oil Painting)

3.  การเขียนภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting)

ประติมากรรม  เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อที่ในอากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุที่ใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวกำหนด วิธีการสร้างผลงาน ความงามของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงา ที่ เกิดขึ้นในผลงานการสร้างงานประติมากรรมทำได้ 4 วิธี คือ
1.  การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัว กันได้ดี วัสดุที่นิยมนำมาใช้ปั้น ได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูน แป้ง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือ ขี้เลื่อยผสมกาว เป็นต้น
2.   การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วัสดุที่นิยมนำมาแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น 
งานแกะสลักไม้
3.   การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดยอาศัยแม่พิมพ์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนำมาใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปูน แป้ง แก้ว ขี้ผึ้ง ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ เช่น รำมะนา (ชิต เหรียญประชา)
4.    การประกอบขึ้นรูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนำวัสดุต่าง ๆ มา ประกอบเข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการใช้ ประติมากรรม ไม่ว่าจะสร้างขึ้นโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกว่า ประติมากร

ประเภทของงานประติมากรรม
                        1.ประติมากรรมแบบนูนต่ำ (Bas Relief) เป็นรูปที่เป็นนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลัง รองรับ มองเห็นได้ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนที่ใช้ประดับตกแต่งภาชนะ หรือประดับตกแต่งอาคารทาง สถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหารต่างๆ พระเครื่องบางชนิด
                        2.ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่ำ แต่มีความสูงจากพื้นตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทำให้เห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมากกว่าแบบนูนต่ำและใช้งานแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ
                           3.ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้านหรือ ตั้งแต่  4 ด้านขึ้นไป ได้แก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสำคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างที่คนทั่วไปอยู่อาศัยได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการกำหนดผังบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมักมีรูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของ สังคมนั้น ๆ ในช่วงเวลานั้น ๆ เราแบ่งลักษณ์งานของสถาปัตยกรรมออกได้เป็น ๓ แขนง ดังนี้คือ

1.สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตึกอาคาร บ้านเรือน เป็นต้น
2.ภูมิสถาปัตย์ เช่น การออกแบบวางผัง จัดบริเวณ วางผังปลูกต้นไม้ จัดสวน เป็นต้น
              3.สถาปัตยกรรมผังเมือง ได้แก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มีระเบียบ มีความสะอาด มีความรวดเร็วในการติดต่อ และถูกหลักสุขาภิบาล เราเรียกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมว่า สถาปนิก
องค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรม
จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
บทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่


ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วน และองค์ประกอบ การจัดวางที่ว่าง สี วัสดุ และพื้นผิวของอาคาร ที่ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ
ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas)  และประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุประโยชน์แห่งเจตนา รวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ
สถาปัตยกรรมไทย
ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมไทย ได้แก่
·         เรือนไทย ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันในแต่ละภาค
·         วัดไทย รวมถึง อุโบสถ วิหาร หอระฆัง เจดีย์
·         พระราชวัง ป้อมปราการ
สถาปัตยกรรมตะวันตก
ตัวอย่างเช่น บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร ปราสาท ราชวัง ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบโบราณ เช่น กอธิก ไบแซนไทน์ จนถึงแบบสมัยใหม่
สถาปัตยกรรมตะวันตก
ศิลปะภาพพิมพ์ ( Printmaking)
ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคำย่อมเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมา  โดยวิธีการพิมพ์ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์  คืออะไรกันแน่ เพราะคำๆนี้เป็นคำใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กันมาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง


โดยความหมายของคำเพียงอย่างเดียว อาจจะชวนให้เข้าใจสับสนไปถึงรูปภาพที่พิมพ์ด้วย
กรรมวิธีการพิมพ์ทางอุตสาหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภาพพิมพ์ที่จำลองจากภาพถ่าย หรือภาพจำลอง  จิตรกรรมอันที่จริงคำว่า ภาพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพาะทางศิลปะที่หมายถึง ผลงานวิจิตรศิลป์ที่จัดอยู่ในประเภท ทัศนศิลป์ เช่น เดียวกันกับจิตรกรรมและประติมากรรม
ภาพพิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่าย คือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไปในระนาบ 2 มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะทีแตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงานที่จิตรกรรมนั้น ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียน หรือวาดภาพระบาย สีลงไปบนผืนผ้าใบ กระดาษ หรือสร้างออกมาเป็นภาพโดยทันที แต่การสร้างผลงานภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ต้องการได้


จากกรรมวิธีในการสร้างผลงานด้วยการพิมพ์นี้เอง   ที่ทำให้ศิลปินสามารถสร้างผลงาน    ต้นแบบ   
( Original)  ที่เหมือนๆกันได้หลายชิ้น เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรม ประเภทที่ปั้นด้วยดินแล้วทำแม่พิมพ์หล่อผลงานชิ้นนั้นให้เป็นวัสดุถาวร เช่นทองเหลือง หรือสำริด ทุกชิ้นที่หล่อออกมาถือว่าเป็นผลงานต้นแบบมิใช่ผลงานจำลอง ( Reproduction) ทั้งนี้เพราะว่าภาพพิมพ์นั้นก็มิใช่ผลงานจำลองจากต้นแบบที่เป็นจิตรกรรมหรือวาดเส้น แต่ภาพพิมพ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ที่ศิลปินมีทั้งเจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คุณลักษณะพิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทางภาพพิมพ์ แต่ละชนิดมาใช้ในการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และอารมณ์ ความรู้สึกออกมาในผลงานได้โดยตรง แตกต่างกับการที่นำเอาผลงานจิตรกรรมที่สร้างสำเร็จไว้แล้วมาจำลองเป็นภาพโดยผ่านกระบวนการทางการพิมพ์
ในการพิมพ์ผลงานแต่ละชิ้น ศิลปินจะจำกัดจำนวนพิมพ์ตามหลักเกณฑ์สากล ที่ศิลปะสมาคมระหว่างชาติ ซึ่งไทยก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วย ได้กำหนดไว้โดยศิลปินผู้สร้างผลงานจะเขียนกำกับไว้ที่ด้านซ้ายของภาพ เช่น 3/30 เลข 3 ตัวหน้าหมายถึงภาพที่ 3 ส่วนเลข 30 ตัวหลังหมายถึงจำนวนที่ พิมพ์ทั้งหมด ในภาพพิมพ์บางชิ้นศิลปินอาจเซ็นคำว่า A/P ไว้แทนตัวเลขจำนวนพิมพ์ A/Pนี้ย่อมาจาก  Artist's Proof ซึ่งหมายความว่า ภาพๆนี้เป็นภาพที่พิมพ์ขึ้นมาหลังจากที่ศิลปินได้มีการทดลองแก้ไข  จนได้คุณภาพสมบูรณ์ตามที่ต้องการ จึงเซ็นรับรองไว้หลังจากพิมพ์ A/P ครบตามจำนวน 10% ของจำนวนพิมพ์ทั้งหมด จึงจะเริ่มพิมพ์ให้ครบตามจำนวนเต็มที่กำหนดไว้ หลังจากนั้นศิลปินจะทำลาย  แม่พิมพ์ด้วยการขูดขีด หรือวิธีการอื่นๆ และพิมพ์ภาพสุดท้ายนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน เรียกว่า Cancellation Proof  สุดท้ายศิลปินจะเซ็นทั้งหมายเลขจำนวนพิมพ์ วันเดือนปี และลายเซ็นของศิลปินเอง ไว้ด้านล่างขวาของภาพ เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพด้วยทุกชิ้น จำนวนพิมพ์นี้อาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยมของ ตลาด และปัจจัยอื่นๆอีกหลายประการ
สำหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนพิมพ์ไว้ค่อนข้างต่ำประมาณ 5-10 ภาพ ต่อ ผลงาน 1 ชิ้น กฎเกณฑ์ที่ศิลปินทั่วโลกถือปฏิบัติกันเป็นหลักสากลนี้ย่อมเป็นการรักษามาตรฐานของภาพพิมพ์  ไว้ อันเป็นการส่งเสริมภาพพิมพ์ให้แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในด้านเทคนิค
1.กรรมวิธีการพิมพ์ผิวนูน (Relief Process)
2.กรรมวิธีการพิมพ์ร่องลึก (Intaglio Process )
3.กรรมวิธีการพิมพ์พื้นราบ (Planography Process )
4.กรรมวิธีการพิมพ์ผ่านช่องฉลุ (Serigraphy)
5.กรรมวิธีการพิมพ์เทคนิคผสม (Mixed Tecniques)
6.การพิมพ์วิธีพื้นฐาน (Basic Printing)
รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในทางทฤษฎีสุนทรียศาสตร์
                1.รูปแบบแสดงความเป็นจริง (Figuration Form)
                2.รูปแบบผันแปรความเป็นจริง (Semi - Figuration Form)
                3.รูปแบบสัญลักษณ์ (Symbolic Form)
                4.รูปแบบที่ปราศจากเนื้อหา (Non - Figuration Form)
ความสำคัญของเนื้อหา
               1.กระบวนการสร้างแม่พิมพ์ ในงานศิลปะภาพพิมพ์ มีหลายลักษณะและแต่ละลักษณะมีความเป็นเฉพาะของภาพลักษณ์ (Image) ในเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคสามารถตอบสนองเนื้อหาในทางศิลปะได้ตามผลของเทคนิคนั้น ๆ เช่น กรรมวิธีการพิมพ์ร่องลึกสามารถถ่ายทอดเนื้อหาในเรื่องพื้นผิว (TEXTURE) ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
                   2.ในทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์ทำให้แยกแยะถึงรูปแบบในทางศิลปะในแบบต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึงวิธีการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ของศิลปินได้

 การวิพากษ์วิจารณ์งานทัศนศิลป์
ความหมาย
                  ารวิเคราะห์งานศิลปะ หมายถึง การพิจารณาแยกแยะศึกษาองค์รวมของงานศิลปะออกเป็นส่วนๆ ทีละประเด็น ทั้งในด้านทัศนธาตุ องค์ประกอบศิลป์ และความสัมพันธ์ต่างๆ  ในด้านเทคนิคกรรมวิธีการแสดงออก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาประเมินผลงานศิลปะว่ามีคุณค่าทางด้านความงาม ทางด้านสาระ และทางด้านอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร


          การวิจารณ์งานศิลปะ  หมายถึง การแสดงออกทางด้านความคิดเห็นต่อผลงานทางศิลปะที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นไว้ โดยผู้วิจารณ์ให้ความคิดเห็นตามหลักเกณฑ์และหลักการของศิลปะ ทั้งในด้านสุนทรียศาสตร์และสาระอื่นๆ ด้วยการติชมเพื่อให้ได้ข้อคิดนำไปปรับปรุงพัฒนาผลงานศิลปะ หรือใช้เป็นข้อมูลในการประเมินตัดสินผลงาน และเป็นการฝึกวิธีดู วิธีวิเคราะห์ คิดเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าในผลงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ
คุณสมบัติของนักวิจารณ์
      
1. ควรมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะทั้งศิลปะประจำชาติและศิลปะสากล
       2. ควรมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลปะ
       3. ควรมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ช่วยให้รู้แง่มุมของความงาม
       4. ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และไม่คล้อยตามคนอื่น
       5. กล้าที่จะแสดงออกทั้งที่เป็นไปตามหลักวิชาการและตามความรู้สึกและประสบการณ์
ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ  ดังนี้
        1. นิยมการเลียนแบบ (Imitationalism Theory) เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแล้วเลียนแบบไว้ให้เหมือนทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน ฯลฯ
        2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม (Formalism Theory) เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ให้สวยงามด้วยทัศนธาตุ (เส้น รูปร่าง รูปทรง สี น้ำหนัก พื้นผิว บริเวณว่าง) และเทคนิควิธีการต่างๆ
        3. นิยมแสดงอารมณ์ (Emotional Theory) เป็นการสร้างงานให้ดูมีความรู้สึกต่างๆ ทั้งที่เป็นอารมณ์อันเนื่องมาจากเรื่องราวและอารมณ์ของศิลปินที่ถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน
        4. นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) เป็นงานที่แสดงภาพจินตนาการ แสดงความคิดฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติและสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ
แนวทางการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของงานศิลปะ
       การวิเคราะห์และการประเมินคุณค่าของงานศิลปะโดยทั่วไปจะพิจารณาจาก  3 ด้าน  ได้แก่
1.              ด้านความงาม
 เป็นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าในด้านทักษะฝีมือ การใช้ทัศนธาตุทางศิลปะ และการจัด
องค์ประกอบศิลป์ว่าผลงานชิ้นนี้แสดงออกทางความงามของศิลปะได้อย่างเหมาะสมสวยงามและส่งผลต่อผู้ดูให้เกิดความชื่นชมในสุนทรียภาพเพียงใด ลักษณะการแสดงออกทางความงามของศิลปะจะมีหลากหลายแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของยุคสมัย ผู้วิเคราะห์และประเมินคุณค่าจึงต้องศึกษาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจด้วย
2.              ด้านสาระ
             เป็นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าของผลงานศิลปะแต่ละชิ้นว่ามีลักษณะส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนจุดประสงค์ต่างๆ ทางจิตวิทยาว่าให้สาระอะไรกับผู้ชมบ้าง ซึ่งอาจเป็นสาระเกี่ยวกับธรรมชาติ สังคม ศาสนา การเมือง ปัญญา ความคิด จินตนาการ และความฝัน
3.              ด้านอารมณ์ความรู้สึก
                    เป็นการคิดวิเคราะห์ และประเมินคุณค่าในด้านคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก และสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งของวัสดุ ซึ่งเป็นผลของการใช้เทคนิคแสดงออกถึงความคิด พลัง ความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ในผลงาน เช่น  ความงามตามธรรมชาติ
ศิลปะกับธรรมชาติ
ความของธรรมชาติและศิลปะ
ธรรมชาติ (Natural) หมายถึง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตามวัฏจักรของระบบสุริยะ โดยที่มนุษย์มิได้เป็นผู้สรรค์สร้างขึ้น เช่น กลางวัน กลางคืน เดือนมืด คืนเดือนเพ็ญ ภูเขา น้ำตก ถือว่าเป็นธรรมชาติ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  ศิลปะ (Art) ตามความหมายทางพจนานุกรมและนักปราชญ์ทางศิลปะได้ให้ความหมายอย่างกว้างขวางตามแนวทางหรือทัศนะส่วนตัวไว้ดังนี้ คือ ศิลปะ(ART) คำนี้ ตามแนวสากล มาจากคำว่า ARTI และ ARTE ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้กันในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา คำว่า ARTI นั้น หมายถึง กลุ่มช่างฝีมือในศตวรรษที่ 14, 15 และ 16 ส่วนคำว่า ARTE หมายถึง ฝีมือ ซึ่งรวมถึง ความรู้ของการใช้วัสดุของศิลปินด้วย เช่น การผสมสีสำหรับลงพื้น การเขียนภาพสีน้ำมัน หรือการเตรียม และการใช้วัสดุอื่นอีกศิลปะ ตามความหมายของพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถานสถาน พ.ศ. 2493 ได้อธิบายไว้ว่าศิลปะ (สิน ละ ปะ) น. หมายถึง ฝีมือ ฝีมือทางการช่าง การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นได้อย่างน่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้ความหมายของศิลป์ไว้ว่า ศิลปะ หมายถึง งานที่ต้องใช้ความพยายามด้วยฝีมือและความคิด เช่น ตัดเสื้อ สร้างเครื่องเรือน ปลูกต้นไม้ เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึง งานทางวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) หมายถึงงานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ นอกจากต้องใช้ความพยายามด้วยมือ ด้วยความคิด แล้วต้องมีการพวยพุ่งแห่งพุทธิปัญญาและจิตออกมาด้วย (INTELLECTURL AND SPIRITUAL EMANATION)ศิลปะ ตามความหมายของพจนากรุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2530 ได้อธิบายไว้ว่า “ART ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกในรูปลักษณ์ต่างๆ ให้ปรากฏซึ่งสุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ตามอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์ รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธิศาสนา
องค์ประกอบที่สำคัญในงานศิลปะ
1.              รูปแบบ (FORM) นงานศิลปะ หมายถึง รูปร่างลักษณะที่ศิลปินถ่ายทอดออกมาให้ปรากฏเป็นรูปธรรมในงานศิลปะ อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือ 1.1 รูปแบบธรรมชาติ (NATURAL FORM) ได้แก่ น้ำตก ภูผา ต้นไม้ ลำธาร กลางวัน กลางคืน ท้องฟ้า ทะเล เป็นต้น 1.2 รูปแบบเรขาคณิต (GEOMETRIC FORM) ได้แก่ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม ทรงกระบอก เป็นต้น 1.3 รูปแบบนามธรรม (ABSTRACT FORM) ได้แก่ รูปแบบที่ศิลปินได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเอง โดยอิสระ หรืออาจตัดทอน (DISTROTION) ธรรมชาติ ให้เหลือเป็นเพียงสัญลักษณ์ (SYMBOL) ที่สื่อความหมายเฉพาะตัวของศิลปินซึ่งรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ศิลปินสามารถที่จะเลือกสรรนำมาสร้างเป็นงานศิลปะ ตามความรู้สึกที่ประทับใจหรือพึงพอใจในส่วนตัวของศิลปิน
                        2.เนื้อหา (CONTENT) หมายถึง การสะท้อนเรื่องราวลงไปในรูปแบบดังกล่าว เช่น กลางวันกลางคืน ความรัก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และคุณค่าทางการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ    เป็นต้น
                        3.เทคนิค (TECHNIQUE) มายถึง ขบวนการเลือกสรรวัสดุ ตลอดจนวิธีการสร้างสรรค์ นำมาสร้างศิลปะชิ้นนั้นๆ  เช่น  สีน้ำมัน สีชอล์ก สีน้ำ ในงานจิตรกรรม   หรือไม้  เหล็ก หิน ในงานประติมากรรม   เป็นต้น
                        4.สุนทรียศาสตร์ (AESTHETICAL ELEMENTS) ซึ่งมี 3 อย่าง คือ ความงาม (BEAUTY) ความแปลกหูแปลกตา (PICTURESQUENESS) และความน่าทึ่ง (SUBLIMITY)ซึ่งศิลปกรรมชิ้นหนึ่งอาจมีทั้งความงามและความน่าทึ่งผสมกันก็ได้ เช่น พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย อาจมีทั้งความงามและความน่าทึ่งรวมอยู่ด้วยกัน เป็นต้นการที่คนใดคนหนึ่งมีสุนทรียะธาตุในความสำนึก เรียกว่า มีประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์ (AESTHETHICAL EXPERIENCE) ซึ่งจะต้องอาศัยการเพาะบ่มทั้งในด้านทฤษฎี ตลอดจนการให้ความสนใจเอาใจใส่รับรู้ต่อการเคลื่อนไหวของวงการศิลปะโดยสม่ำเสมอ เช่น การชมนิทรรศการที่จัดขึ้นในหอศิลป์ เป็นต้น เมื่อกล่าวถึง งานศิลปกรรมและองค์ประกอบ ที่สำคัญในงานศิลปะแล้วหากจะย้อนรอยจากความเป็นมาในอดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว พอจะแยกประเภทการสร้างสรรค์ของศิลปินออกได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
                                        1.กลุ่มที่ยึดรูปธรรม (REALISTIC) หมายถึง กลุ่มที่ยึดรูปแบบที่เป็นจริงในธรรมชาติมาเป็นหลักในการสร้างงานศิลปะ สร้างสรรค์ออกมาให้มีลักษณะคล้ายกับกล้องถ่ายภาพ หรือตัดทอนบางสิ่งออกเพียงเล็กน้อย ซึ่งกลุ่มนี้ได้พยายามแก้ปัญหาให้กับผู้ดูที่ไม่มีประสบการณ์ทางศิลปะ และสามารถสื่อความหมายระหว่างศิลปะกับผู้ดูได้ง่ายกว่าการสร้างสรรค์ผลงานในลักษณะอื่นๆ
      2.  กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลุ่มที่ยึดแนวทางการสร้างงานที่ตรงข้ามกับกลุ่มรูปธรรม ซึ่งศิลปินกลุ่มนี้มุ่งที่จะสร้างรูปทรง (FORM) ขึ้นมาใหม่โดยที่ไม่อาศัยรูปทรงทางธรรมชาติ หรือหากนำธรรมชาติมาเป็นข้อมูลในการสร้างสรรค์ก็จะใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) จนในที่สุดจะเหลือแต่โครงสร้างที่เป็นเพียงสัญญาลักษณ์ และเช่นงานศิลปะของ มอนเดียน (MONDIAN)
       3.   กลุ่มกึ่งนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เป็นกลุ่มอยู่กึ่งกลางระหว่างกลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) และกลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลุ่มที่สร้างงานทางศิลปะโดยใช้วิธีลดตัดทอน (DISTORTION) รายละเอียดที่มีในธรรมชาติให้ปรากฏออกมาเป็นรูปแบบทางศิลปะ เพื่อผลทางองค์ประกอบ (COMPOSITION) หรือผลของการแสดงออก แต่ยังมีโครงสร้างอันบ่งบอกถึงที่มาแต่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นผลที่ผู้เขียนได้กล่าวนำในเบื้องต้นจากการแบ่งกลุ่มการสร้างสรรค์ของศิลปินทั้ง 3 กลุ่ม ที่กล่าวมาแล้วนั้น มีนักวิชาการทางศิลปะได้เปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจ คือ กลุ่มรูปธรรม (REALISTIC) เปรียบเสมือนการคัดลายมือแบบตัวบรรจง กลุ่มนามธรรม (ABSTRACT) เปรียบเสมือนลายเซ็น กลุ่มกึ่งนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เปรียบเสมือนลายมือหวัด

มนุษย์กับศิลปะ
                หากกล่าวถึงผลงานศิลปะทำไมจะต้องกล่าวถึงแต่เพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเท่านั้น จอมปลวกรังผึ้งหรือรังนกกระจาบ ก็น่าที่จะเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเยี่ยม ที่เกิดจากสัตว์ต่างๆ เหล่านั้น หากเราจะมาทำความเข้าใจ ถึงที่มาของการสร้างก็พอจะแยกออกได้เป็น 2 ประเด็น  ประเด็นที่ 1   ทำไมจอมปลวก รังผึ้ง หรือรังนกกระจาบ สร้างขึ้นมาจึงไม่เรียกว่างานศิลปะ  ประเด็นที่ 2 ทำไมสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาถึงเรียกว่า เป็น ศิลปะ
                จากประเด็นที่ 1 เราพอจะสามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เราไม่เรียกว่า เป็นผลงานศิลปะเพราะปลวก ผึ้ง และนกกระจาบสร้างรัง หรือจอมปลวกขึ้นมาด้วยเหตุผลของสัญชาตญาณที่ต้องการความปลอดภัย ซึ่งมีอยู่ในตัวของสัตว์ทุกชนิด ที่จำเป็นต้องสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายต่างๆ ตลอดจนภัยธรรมชาติ เช่น ฝนตก แดดออก เป็นต้น หรืออาจต้องการความอบอุ่น ส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่ง คือ จอมปลวก รังผึ้ง หรือรังนกกระจาบนั้น ไม่มีการพัฒนาในเรื่องรูปแบบ ไม่มีการสร้างสรรค์ให้ปรากฏรูปลักษณ์แปลกใหม่ขึ้นมายังคงเป็นอยู่แบบเดิมและตลอดไป จึงไม่เรียกว่า เป็นผลงานศิลปะ แต่ในทางปัจจุบัน หากมนุษย์นำรังนกกระจาบหรือรังผึ้งมาจัดวางเพื่อประกอบกับแนวคิดสร้างสรรค์เฉพาะตน เราก็อาจจัดได้ว่า เป็นงานศิลปะ เพราะเกิดแรงจูงใจภายในของศิลปิน (Intrinsic Value) ที่เห็นคุณค่าของความงามตามธรรมชาตินำมาเป็นสื่อในการสร้างสรรค์
                ประเด็นที่ 2 ทำไมสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาถึงเรียกว่า ศิลปะ หากกล่าวถึงประเด็นนี้ ก็มีเหตุผลอยู่หลายประการซึ่งพอจะกล่าวถึงพอสังเขป ดังนี้
1. มนุษย์สร้างงานศิลปะขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการสร้าง เช่น- ชาวอียิปต์ (EGYPT) สร้างมาสตาบ้า (MASTABA) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายม้าหินสำหรับนั่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมแท่งสูงข้างบนเป็นพื้นที่ราบ มุมทั้งสี่เอียงลาดมาที่ฐานเล็กน้อย มาสตาบ้าสร้างด้วยหินขนาดใหญ่ เป็นที่ฝังศพขุนนาง หรือผู้ร่ำรวยซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็นการสร้างพีระมิด (PYRAMID) เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์หรือฟาโรห์ (PHARAOH) มีการอาบน้ำยาศพหรือรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยโดยทำเป็นมัมมี่ (MUMMY) บรรจุไว้ภายใน เพื่อรอวิญญาณกลับคืนสู่ร่าง ตามความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ของชาวอียิปต์การก่อสร้างพุทธสถานเช่น สร้างวัด สร้างพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ ในพุทธศาสนา มีจุดประสงค์ เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อเป็นที่พำนักของสงฆ์ ตลอดจนใช้เป็นที่เผยแพร่ศาสนา
2. มีการสร้างเพื่อพัฒนารูปแบบโดยไม่สิ้นสุด จะเห็นได้จากมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (PRE HISTORICAL PERIOD) ได้หลบภัยธรรมชาติ ตลอดจนสัตว์ร้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำ เมื่อมีความเข้าใจในปรากฏการณ์ อันเกิดขึ้นจากธรรมชาติและประดิษฐ์เครื่องมือ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนในสมัยต่อมา มีการพัฒนาการสร้างรูปแบบอาคารบ้านเรือนในรูปแบบต่างๆ ตามความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม และความเจริญทางเทคโนโลยีมีการใช้คอนกรีตเสริมเหล็กและวัสดุสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ตลอดจนมีการพัฒนารูปแบบทางสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนกับธรรมชาติแวดล้อม เช่น สถาปัตยกรรม “THE KAUF MANN HOUSE” ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ที่รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา
3. ความต้องการทางกายภาพที่เป็นปฐมภูมิของมนุษย์ทุกเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพื่อนำมาซึ่งความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากเครื่องอุปโภค บริโภคตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ซึ่งเป็นผลิตผลที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทั้งสิ้นในทางศิลปะที่เช่นเดียวกับ ศิลปินจะไม่จำเจอยู่กับงานศิลปะที่มีรูปแบบเก่าๆ หรือสร้างงานรูปแบบเดิมซ้ำๆ กันแต่จะคิดค้นรูปแบบ เนื้อหา หรือเทคนิคที่แปลกใหม่ให้กับตัวเอง เพื่อพัฒนาการสร้างงานศิลปะรูปแบบเฉพาะตนอย่างมีลำดับขั้นตอน เพื่อง่ายแก่การเข้าใจจึงขอให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ในทางศิลปะเสียก่อน

ความงามตามทัศนศิลป์สากล
การรับรู้ความงามทางศิลปะ
สำหรับการรับรู้ความงามทางศิลปะของมนุษย์นั้น สามารถรับรู้ได้ 2 ทาง คือ ทางสายตาจากการมองเห็น และทางหูจากการได้ยิน ซึ่งแบ่งได้ 3 รูปแบบดังนี้
1.              ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยสายตา จากการมองเห็นงานศิลปะส่วนใหญ่จะเป็นงานทัศนศิลป์  ทั้งสิ้น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม มัณฑนาศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ พาณิชย์ศิลป์
2.              โสตศิลป์ (Audio Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยหู จากการฟังเสียง งานศิลปะ ที่จัดอยู่ในประเภทโสตศิลป์ ได้แก่ ดนตรี และ วรรณกรรม
3.              โสตทัศนศิลป์ (Audiovisual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามทางศิลปะได้ทั้งสองทาง คือจากการมองเห็นและจากการฟัง งานศิลปะประเภทนี้ ได้แก่ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ การละคร การภาพยนตร์
วิวัฒนาการของทัศนศิลป์สากล
ศิลปะของชาติต่างๆ ในซีกโลกตะวันตกมีลักษณะใกล้เคียงกัน จึงพัฒนาขึ้นเป็นศิลปะสากล ความเชื่อมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ทั้งความคิด การแสดงออก และการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในงานศิลปกรรมมีรูปแบบความงามหลายแบบ ที่เกิดจากพลังแห่งความศรัทธาจากความเชื่อถือในเรื่องต่างๆ
รูปแบบความงามอันเนื่องมาจากความเชื่อถือ จะปรากฏเป็นความงามตามความคิดของช่างในยุคนั้นผสมกับฝีมือ และเครื่องมือที่ยังไม่ค่อยมีคุณภาพมากนัก ทำให้งานจิตรกรรมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ดูไม่ค่อยงามมากนักในสายตาของคนปัจจุบัน
1. ศิลปะสมัยกลาง (Medieval Arts)
ทัศนศิลป์อันเนื่องมาจากคริสต์ศาสนา
ความเชื่อในสมัยกลาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศาสนาคริสต์เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมของชาวตะวันตก โดยมีความเชื่อว่าความงามเป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาโดยผ่านทางศิลปิน เพื่อเป็นการแสดงถึงความศรัทธาอย่างยิ่งในพระเจ้า ศิลปินต้องสร้างผลงานโดยแสดงถึงเรื่องราวของพระคริสต์ พระสาวก ความเชื่ออันนี้มีผลต่อทัศนศิลป์ ดังนี้
สถาปัตยกรรม เช่น โบสถ์สมัยกอธิค เป็นสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะสูงชลูด และส่วนที่สูงที่สุดของโบสถ์จะเป็นที่ตั้งของกางเขนอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะเป็นที่ติดต่อกับพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ มีการแต่งเพลงและร้องกันอยู่ในโบสถ์ Notre Dame อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นแบบกอธิค โบสถ์แบบนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ถ่ายแบบแล้วนำมาสร้างไว้ที่วัดนิเวศธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2. ศิลปะไบเซนไทร์ (Bizentine)
ยุคแรกแห่งศิลปะเพื่อคริสต์ศาสนา เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายลง แยกเป็นประเทศต่างๆอยู่ในยุโรปปัจจุบัน และเป็นช่วงของคำสอนของศาสนาคริสต์ ได้รับความเชื่อถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในสมัยไบเซนไทร์ ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรแห่งแรกของคริสต์ศาสนาศิลปินและช่างทุกสาขาทำงานให้แก่ศาสนา หรือทำงานเพื่อส่งเสริมความศรัทธาแห่งคริสต์
สถาปัตยกรรม ร้างโบสถ์ วิหาร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ และสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ
ประติมากรรม มีการแกะสลักรูปพระคริสต์และสาวกด้วยไม้ และหิน จิตรกรรมเป็นภาพเขียนประดับหินสีที่เรียกว่าโมเสก
สถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทร์
3. ฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissanee)
นวคิดทางความงามของกรีกและโรมันกลับมาเกิดใหม่หรือฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ต่อเนื่องจากอาณาจักรไบเซนไทร์ เป็นยุคของฟื้นฟูศิลปวิทยา หมายถึง การนำกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากได้มีการค้นพบซากเมืองของพวกกรีกและโรมันทำให้ศิลปินหันกลับมานิยมความงามตามแนวคิดของกรีกและโรมันอีกครั้งหนึ่ง













1 ความคิดเห็น: