วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

2.3 คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล


 ใบความรู้ ที่ 3

คุณค่าความไพเราะของเพลงสากล

          ดนตรีเป็นสื่อสุนทรียศาสตร์ที่มีความละเอียด ประณีต มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อมนุษย์ ทั้งทางกาย และทางจิต เมื่อเราได้ยินเสียงดนตรีที่มีความสงบ ก็จะทําให้จิตสงบ อารมณ์ดีหากได้ยินเสียงเพลงที่ให้ความบันเทิงใจ ก็จะเกิดอารมณ์ที่สดใส ทั้งนี้เพราะดนตรีเป็นสื่อสุนทรียที่สร้างความสุข ความบันเทิงใจให้แก่มนุษย์ เป็นเครื่องบําบัดความเครียด สร้างสมาธิ กล่อมเกลาจิตใจให้สุขุม เยือกเย็น อารมณ์ดี โดยที่ไม่ต้องเสียเวลา หรือเสียเงินซื้อหาแต่อย่างใด ดนตรีจึงมีคุณค่าต่อมนุษย์มากมาย ดังเช่น เสาวนีย์ สังฆโสภณ กล่าวว่าจากงานวิจัยของต่างประเทศ ทําให้เราทราบว่า ดนตรีมีผลต่อการทํางานของระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ และสภาพจิตใจ ทําให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด ทําให้เกิดสติ ความรู้สึกนึกคิดที่ดี และนํามาใช้ในเรื่องการคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล ลดความกลัว บรรเทาอาการเจ็บปวด เพิ่มกําลัง และการเคลื่อนไหวของร่างกาย โดยนิยมใช้ในงานฟื้นฟูสุขภาพคนทั่วไป พัฒนาคุณภาพชีวิต ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผู้ป่วยโรคจิต และเด็กมีความต้องการเป็นพิเศษ เพราะดนตรีเป็นศิลปะที่อาศัยเสียงเพื่อการถ่ายทอดอารมณ์ไปสู่ผู้ฟัง เป็นศิลปะที่ง่ายต่อการสัมผัส ก่อให้เกิดความสุข ความปกติพอใจแก่มนุษย์ได้
                  กล่าวว่า ดนตรีเป็นภาษาสากล เพราะเป็นสื่อความรู้สึกของชนทุกชาติได้ ดังนั้น คนที่โชคดีมีประสาทรับฟังเป็นปกติ ก็สามารถหาความสุขจากการฟังดนตรีได้ เมื่อเราได้ฟังเพลงที่มีจังหวะ และทํานองที่ราบเรียบนุ่มนวล จะทําให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราได้ฟังดนตรีที่เลือกสรรแล้ว จะช่วยทําให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี อันมีผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดนตรีจึงเปรียบเสมือน ยารักษาโรค การที่มีเสียงดนตรีรอบบ้าน เปรียบเสมือนมีอาหารและวิตามิน ที่ช่วยทําให้คนเรามีสุขภาพแข็งแรง
           องค์ประกอบของดนตรีสากล
                   ดนตรีไม่ว่าจะเป็นของชาติใด ภาษาใด ล้วนมีพื้นฐานมาจากส่วนต่างๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น ความแตกต่างในรายละเอียดของแต่ละส่วน ของแต่ละวัฒนธรรม โดยวัฒนธรรมของแต่ละสังคมจะเป็นปัจจัยที่กําหนดให้ตรงตามรสนิยมของแต่ละวัฒนธรรม จนเป็นผลให้สามารถแยกแยะดนตรีของชาติหนึ่งแตกต่างจากดนตรีของอีกชาติหนึ่งได้
 องค์ประกอบของดนตรีสากล ประกอบด้วย
                 1. เสียง (Tone)
                  คีตกวีผู้สร้างสรรค์ดนตรี เป็นผู้ใช้เสียงในการสร้างสรรค์และผลิตงานศิลปะเพื่อรับใช้สังคม ผู้สร้างสรรค์ดนตรีสามารถสร้างเสียงที่หลากหลายโดยอาศัยวิธีการผลิตเสียงเป็นปัจจัยกําหนด เช่น การดีด การสีการตี การเป่าเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเสียงอึกทึกหรือเสียงรบกวน(Noise) เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะความแตกต่างของเสียงขึ้นอยู่กับคุณสมบัติสําคัญ 4 ประการ คือ ระดับเสียงความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของเสียง
                             1.1 ระดับเสียง (Pitch) หมายถึง ระดับของความสูง-ต่ําของเสียง ซึ่งเกิดจากการจํานวนความถี่ของการสั่นสะเทือน กล่าวคือ ถ้าเสียงที่มีความถี่สูงลักษณะการสั่นสะเทือนเร็ว จะส่งผลให้มีระดับเสียงสูง แต่ถ้าหากเสียงมีความถี่ต่ำลักษณะการสั่นสะเทือนช้าจะส่งผลให้มีระดับเสียงต่ำ
                             1.2 ความสั้น-ยาวของเสียง (Duration) หมายถึง คุณสมบัติที่เกี่ยวกับความยาว-สั้นของเสียง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สําคัญอย่างยิ่งของการกําหนดลีลา จังหวะ ในดนตรีตะวันตกการกําหนดความสั้น-ยาวของเสียงสามารถแสดงให้เห็นได้จากลักษณะของตัวโน้ต เช่น โน้ตตัวกลม ตัวขาว และตัวดํา เป็นต้น สําหรับดนตรีของไทยนั้น แต่เดิมมิได้ใช้ระบบการบันทึกโน้ตเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างความยาว-สั้นของเสียงอาจสังเกตได้จากลีลาการกรอระนาดเอก ฆ้องวง ในกรณีของซออาจแสดงออกมาในลักษณะของการลากคันชักยาวๆ
                             1.3 ความเข้มของเสียง (Intensity) ความเข้มของสียงเกี่ยวข้องกับน้ําหนักของความหนักเบาของเสียงความเข้มของเสียงจะเป็นคุณสมบัติที่ก่อประโยชน์ในการเกื้อหนุนเสียงให้มีลีลาจังหวะที่สมบูรณ์
                             1.4 คุณภาพของเสียง (Quality) เกิดจากคุณภาพของแหล่งกําเนิดเสียงที่แตกต่างกัน ปัจจัยที่ทําให้คุณภาพของเสียงเกิดความแตกต่างกันนั้น เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น วิธีการผลิตเสียง รูปทรงของแหล่งกําเนิดเสียง และวัสดุที่ใช้ทําแหล่งกําเนิดเสียง ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดลักษณะคุณภาพของเสียง ซึ่งเป็นหลักสําคัญให้ผู้ฟังสามารถแยกแยะสีสันของสียง (Tone Color) ระหว่างเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่งกับเครื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจน
                     2. พื้นฐานจังหวะ (Element of Time)
                     เป็นศิลปะของการจัดระเบียบเสียง ที่เกี่ยวข้องกับความช้าเร็ว ความหนักเบาและความสั้น-ยาวองค์ประกอบเหล่านี้ หากนํามาร้อยเรียง ปะติดปะต่อเข้าด้วยกันตามหลักวิชาการเชิงดนตรีแล้ว สามารถที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดลีลาจังหวะอันหลากหลาย ในเชิงจิตวิทยา อิทธิพลของจังหวะที่มีผลต่อผู้ฟังจะปรากฏพบในลักษณะของการตอบสนองเชิงกายภาพ เช่น ฟังเพลงแล้วแสดงอาการกระดิกนิ้ว ปรบมือร่วมไปด้วย
                      3. ทํานอง (Melody)
                      ทํานองเป็นการจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต่ํา ความสั้น-ยาว และความดัง-เบาคุณสมบัติเหล่านี้เมื่อนํามาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของความช้า-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ผู้ฟังสามารถทําความเข้าใจได้ง่ายที่สุด ในเชิงจิตวิทยา ทํานองจะกระตุ้นผู้ฟังในส่วนของสติปัญญา ทํานองจะมีส่วนสําคัญในการสร้างความประทับใจจดจํา และแยกแยะความแตกต่างระหว่างเพลงหนึ่งกับอีกเพลงหนึ่ง
                       4. พื้นผิวของเสียง (Texture)
                            พื้นผิวเป็นคําที่ใช้อยู่ทั่วไปในวิชาการด้านวิจิตรศิลป์ หมายถึง ลักษณะพื้นผิวของสิ่งต่างๆ เช่นพื้นผิวของวัสดุที่มีลักษณะขรุขระ หรือเกลี้ยงเกลา ซึ่งอาจจะทําจากวัสดุที่ต่างกัน ในเชิงดนตรีนั้น พื้นผิวหมายถึงลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทั้งที่ประสานสัมพันธ์และไม่ประสานสัมพันธ์โดยอาจจะเป็นการนําเสียงมาบรรเลงซ้อนกันหรือพร้อมกัน ซึ่งอาจพบทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ตามกระบวนการประพันธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทั้งหมดเหล่านั้น จัดเป็นพื้นผิวตามนัยของดนตรีทั้งสิ้นลักษณะรูปแบบพื้นผิวของเสียงมีอยู่หลายรูปแบบ ดังนี้
                       4.1 Monophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทํานองเดียว ไม่มีเสียงประสานพื้นผิวเสียงในลักษณะนี้ถือเป็นรูปแบบการใช้แนวเสียงของดนตรีในยุคแรกๆ ของดนตรีในทุกวัฒนธรรม
                    4.2 Polyphonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบด้วยแนวทํานองตั้งแต่สองแนวทํานองขึ้นไป โดยแต่ละแนวมีความเด่นและเป็นอิสระจากกัน ในขณะที่ทุกแนวสามารถประสานกลมกลืนไปด้วยกัน
               ลักษณะแนวเสียงประสานในรูปของ Polyphonic Texture มีวิวัฒนาการมาจากเพลงชานท์(Chant) ซึ่งมีพื้นผิวเสียงในลักษณะของเพลงทํานองเดียว (Monophonic Texture) ภายหลังได้มีการเพิ่มแนวขับร้องเข้าไปอีกหนึ่งแนว แนวที่เพิ่มเข้าไปใหม่นี้จะใช้ระยะขั้นคู่ 4 และคู่ 5 และดําเนินไปในทางเดียวกับเพลงชานท์เดิม      การดําเนินทํานองในลักษณะนี้เรียกว่า ออร์กานุ่ม” (Orgonum) นับได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการประสานเสียงแบบ Polyphonic Texture หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา แนวทํานองประเภทนี้ได้มีการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นระยะเวลาที่การสอดทํานอง (Counterpoint) ได้เข้าไปมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการตกแต่งพื้นผิวของแนวทํานองแบบ Polyphonic Texture
                        4.3 Homophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียง ที่ประสานด้วยแนวทํานองแนวเดียวโดยมี กลุ่มเสียง (Chords) ทําหน้าที่สนับสนุนในคีตนิพนธ์ประเภทนี้แนวทํานองมักจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงสูงที่สุดในบรรดากลุ่มเสียงด้วยกัน ในบางโอกาสแนวทํานองอาจจะเคลื่อนที่ในระดับเสียงต่ําได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าคีตนิพนธ์ประเภทนี้จะมีแนวทํานองที่เด่นเพียงทํานองเดียวก็ตาม แต่กลุ่มเสียง (Chords) ที่ทําหน้าที่สนับสนุนนั้น มีความสําคัญที่ไม่น้อยไปกว่าแนวทํานอง การเคลื่อนที่ของแนวทํานองจะเคลื่อนไปในแนวนอน ในขณะที่กลุ่มเสียงสนับสนุนจะเคลื่อนไปในแนวตั้ง
                   4.4 Heterophonic Texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทํานองหลายทํานอง แต่ละแนวมีความสําคัญเท่ากันทุกแนว คําว่า Heteros เป็นภาษากรีก หมายถึงแตกต่างหลากหลายลักษณะการผสมผสานของแนวทํานองในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบการประสานเสียง
                   5. สีสันของเสียง (Tone Color)
                       สีสันของเสียงหมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่กําเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหล่งกําเนิดเสียงดังกล่าวเป็นได้ทั้งที่เป็นเสียงร้องของมนุษย์และเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ความแตกต่างของเสียงร้องมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานของการแตกต่างทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียงและกล่องเสียง เป็นต้น
                     ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีนั้น ความหลากหลายด้านสีสันของเสียง ประกอบด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น วิธีการบรรเลง วัสดุที่ใช้ทําเครื่องดนตรี รวมทั้งรูปทรง และขนาด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผล โดยตรงต่อสีสันของเสียงเครื่องดนตรีทําให้เกิดคุณลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันออกไป
                      5.1 วิธีการบรรเลง โดยวิธีดีด สี ตี และเป่า วิธีการผลิตเสียงดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยให้เครื่องดนตรีมีคุณลักษณะของเสียงที่ต่างกัน
                        5.2 วัสดุที่ใช้ทําเครื่องดนตรี  วัสดุที่ใช้ทําเครื่องดนตรีของแต่ละวัฒนธรรมจะใช้วัสดุที่แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของสังคมและยุคสมัย นับเป็นปัจจัยที่สําคัญประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในด้านสีสันของเสียง
                     5.3 ขนาดและรูปทรง เครื่องดนตรีที่มีรูปทรงและขนาดที่แตกต่างกัน จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความแตกต่างกันในด้านของเสียงในลักษณะที่มีความสัมพันธ์กัน
                     6. คีตลักษณ์(Forms)
                                 คีตลักษณ์หรือรูปแบบของเพลง เปรียบเสมือนกรอบที่ได้หลอมรวมเอาจังหวะ ทํานอง พื้นผิวและสีสันของเสียงให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เพลงที่มีขนาดสั้น-ยาว วนกลับไปมาล้วนเป็นสาระสําคัญของคีตลักษณ์ทั้งสิ้น
                ดนตรีมีธรรมชาติที่แตกต่างไปจากศิลปะแขนงอื่น ๆ ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
1. ดนตรีเป็นสื่อทางอารมณ์ที่สัมผัสได้ด้วยหู กล่าวคือ หูนับเป็นอวัยวะสําคัญที่ทําให้คนเราสามารถสัมผัสกับดนตรีได้ผู้ที่หูหนวกย่อมไม่สามารถทราบได้ว่าเสียงดนตรีนั้นเป็นอย่างไร
2. ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กล่าวคือ กลุ่มชนต่าง ๆ จะมีวัฒนธรรมของตนเอง และวัฒนธรรมนี้เองที่ทําให้คนในกลุ่มชนนั้นมีความพอใจและซาบซึ้งในดนตรีลักษณะหนึ่งซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราซึ่งเคยชินกับดนตรีพื้นเมืองไทยและดนตรีสากล เมื่อไปฟังดนตรีพื้นเมืองของอินเดียก็อาจไม่รู้สึกซาบซึ้งแต่อย่างใด แม้จะมีคนอินเดียคอยบอกเราว่าดนตรีของเขาไพเราะเพราะพริ้งมากก็ตาม เป็นต้น
             3. ดนตรีเป็นเรื่องของสุนทรียศาสตร์ว่าด้วยความไพเราะ ความไพเราะของดนตรีเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถซาบซึ้งได้และเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้กับทุกคน ทุกระดับ ทุกชนชั้น ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
             4. ดนตรีเป็นเรื่องของการแสดงออกทางอารมณ์ เสียงดนตรีจะออกมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าของอารมณ์ที่จะช่วยถ่ายทอดออกมาเป็นเสียง ดังนั้นเสียงของดนตรีอาจกล่าวได้ว่าอยู่ที่อารมณ์ของผู้ประพันธ์เพลงที่จะใส่อารมณ์ลงไปในเพลงตามทีตนต้องการ ผู้บรรเลงเพลงก็ถ่ายทอดอารมณ์จากบทประพันธ์ลงบนเครื่องดนตรีผลที่กระทบต่อผู้ที่ฟังก็คือเสียงดนตรีที่ประกอบขึ้นด้วยอารมณ์ของผู้ประพันธ์ผสมกับความสามารถของนักดนตรีที่จะถ่ายทอดได้ถึงอารมณ์หรือมีความไพเราะมากน้อยเพียงใด
                  5. ดนตรีเป็นทั้งระบบวิชาความรู้และศิลปะในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสียงและการจัดระบบเสียงให้เป็นท่วงทํานองและจังหวะ ซึ่งคนเราย่อมจะศึกษาเรียนรู้ ความรู้ที่เกี่ยวกับดนตรีนี้ก็ได้ โดยการท่อง จํา อ่าน ฟัง รวมทั้งการลอกเลียนจากคนอื่นหรือการคิดหาเหตุผลเอาเองได้แต่ผู้ที่ได้เรียนรู้จะมี ความรู้เกี่ยวกับดนตรีก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความไพเราะหรือซาบซึ้งในดนตรีได้เสมอไป เพราะการเข้าถึงดนตรีเป็นเรื่องของศิลปะ เพียงแต่ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับดนตรีนั้นจะสามารถเข้าถึงความไพเราะของดนตรีได้ง่ายขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น