วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

3.5 ประเภทของละคร


ใบความรู้ ที่ 5


ประเภทของละคร

ประเภทของละคร          
         1. ละครประเภทโศกนาฎกรรม (Tragedy) เป็นวรรณกรรมการละครที่เก่าแก่ที่สุด และมีคุณค่าสูงสุดในเชิงศิลปะและวรรณคดี ละครประเภทนี้ถือกําเนิดขึ้นในประเทศกรีซ และพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ภายใต้การนําของ เอสดิลุส (Aeschylus,525-456 B.C.) โซโปคลีส (Sophocles, 496-406 B.C.) และยูริพิดีส (Euripides,484-406 B.C.) เป็นละครที่พยายามตอบปัญหาหรือตั้งคําถามที่สําคัญๆ เกี่ยวกับชีวิตที่ต้องนํามาให้ผู้ชมต้องขบคิด เช่น ชีวิตคืออะไร มนุษย์คืออะไร อะไรผิด อะไรถูก อะไรจริง ภายใต้จักรวาลที่เต็มไปด้วยความเร้นลับ ละครประเภทนี้ถือกําเนิดจากพิธีทางศาสนา จึงนับว่าเป็นละครที่มีความใกล้ชิดกับศาสนาอยู่มาก แม้ในปัจจุบันละครแทรจิดีที่มีความสมบูรณ์ยังสามารถให้ความรู้สึกสูงส่ง และความบริสุทธิ์ทางจิตใจได้ด้วยการชี้ชวนแกมบังคับให้มองปัญหาสําคัญๆ ของชีวิต ทําให้ได้ตระหนักถึงคุณ ค่าของความเป็นมนุษย์ กล้าเผชิญความจริงเกี่ยวกับตนเองและโลก และมองเห็นความสําคัญของการดํารงชีวิตอย่างมีคุณค่าสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

ลักษณะสําคัญของละครประเภทโศกนาฎกรรม
                 1. ต้องเป็นเรื่องที่แสดงถึงความทุกข์ทรมานของมนุษย์ และจบลงด้วยความหายนะของตัวเอก
                 2. ตัวเอกของแทรจิดีจะต้องมีความยิ่งใหญ่เหนือคนทั่วๆไป แต่ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดที่เป็นสาเหตุของความหายนะที่ได้รับ
                 3. ฉากต่างๆที่แสดงถึงความทรมานของมนุษย์จะต้องมีผลทําให้เกิดความสงสาร และความกลัวอันจะนําไปสู่ความเข้าใจชีวิต
                 4. มีความเป็นเลิศในเชิงศิลปะและวรรณคดี
                 5. ได้ความรู้สึกอันสูงกว่าหรือความรูสึกผ่องแผ้วจริงใจ และการชําระลางจิตใจจนบริสุทธิ์

         2. ละครประเภทตลกขบขัน ตามหลักของทฤษฎีการละครที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปนั้นมักจะถือว่าละครประเภทตลกขบขันแยกออกเป็น2ประเภทใหญ่ ๆ คือ
                1) ละครตลกชนิดโปกฮา (Farce) ให้ความตลกขบขันจากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อเป็นการแสดงที่รวดเร็วและเอะอะตึงตัง
                2) ละครตลกที่มีลักษณะเป็นวรรณกรรม (Comedy) บางเรื่องเป็นวรรณกรรมชั้นสูงที่นับเป็นวรรณคดีอมตะของโลก เช่น สุขนาฎกรรม (Romantic Comedy) ของเชกสเปียร์ (Shakespeare) ละครตลกประเภทเสียดสี(Satiric Comedy) ของโมลิแยร์ (Moliire) และตลกประเภทความคิด (Comedy of Ideas) ของจอร์จ เบอร์นาร์ดชอว์ (George Bernard Shaw) เป็นต้น ละครคอมเมดีมีหลายประเภท ดังนี้
                           - สุขนาฏกรรม (Romantic Comedy) ละครคอเมดีประเภทนี้ถือเป็นวรรณกรรมชั้นสูง เช่น สุขนาฎกรรมของวิลเลี่ยม เชกเสปียร์ เรื่อง เวนิชวานิช (The Merchants of Venice) ตามใจท่าน (As You Like It) และทเวลฟร์ไนท์ (Twlfth Night) เป็นต้น ละครประเภทนี้นิยมแสดงในเรื่องรามที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าเชื่อสมเหตุสมผล ตัวละครประกอบด้วยพระเอกนางเอกที่มีความสวยงามตามอุดมคติ พูดจาด้วยภาษาที่ไพเราะเพราะพริ้ง และมักจะต้องพบกับอุปสรรคเกี่ยวกับความรักในตอนต้น แต่เรื่องก็จบลงด้วยความสุข ซึ่งมักจะเป็นพิธีแต่งงานหรือเฉลิมฉลองที่สดชื่นรื่นเริง บทบาทสําคัญที่ดึงดูดความสนใจและเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูในละครประเภทสุขนาฏกรรมนี้ มักไปตกอยู่กับตัวละครที่มีลักษณะเป็นตัวตลกอย่างแท้จริงซึ่งไม่ใช่ตัวพระเอก หรือนางเอก ตัวตลกเหล่านี้รวมถึงตัวตลกอาชีพ(Clown) ที่มีหน้าที่ทําให้คนหัวเราะด้วยคําพูดที่คมคายเสียดสี หรือ การกระทําที่ตลกโปกฮา
                    -ละครตลกชั้นสูง (Hight Comedy) หรือตลกผู้ดี (Comedy of Manners) เป็นละครที่ล้อเลียนเสียดสีชีวิตในสังคม เฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชั้นสูง ซึ่งมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับมากมาย ความสนุกสนานขบขันของผู้ชมเกิดจากการที่ได้เห็นวิธีการอันแยบยลตางๆ ที่ตัวละครในเรื่องนํามาใช่เพื่อหลีกเลี่ยงกฎข้อบังคับของสังคม
                    -ละครตลกประเภทเสียดสี(Satiric Comedy) ละครตลกประเภทนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับตลกชั้นสูงแต่เน้นการเสียดสีโจมตีวิธีการที่รุนแรงกว่า ในขณะที่ละครตลกชั้นสูงมุ่งล้อเลียนพฤติกรรมของคนในวงสังคมชั้นสูง ละครตลกเสียดสีจะมุ่งโจมตีข้อบกพร่องของมนุษย์โดยทั่วไป ไม่จํากัดว่าจะต้องอยู่ในแวดวงสังคมใด ละครตลกประเภทนี้มุ่งที่จะแก้ไขสิ่งบกพร่องในตัวมนุษย์และสังคม ด้วยการนําข้อบกพร่องดังกล่าวมาเยาะเย้ย ถากถางให้เป็นเรื่องขบขันและน่าละอาย เพื่อที่ว่าเมื่อได้ดูละครประเภทนี้แล้วผู้ชมจะได้มองเห็นข้อบกพร่องของตนเกิดความละอายใจ และพยายามปรับปรุงแก้ไขต่อไป
                    -ละครตลกประกอบความคิด (Comedy Ideas) ละครตลกประเภทนี้ใช้วิธีล้อเลียนเสียดสี แต่เน้นการนําเอาความคิดความเชื่อของมนุษย์ที่ผิดพลาดบกพร่องหรือล้าสมัย มาเป็นจุดที่ทําให้ผู้ชมหัวเราะโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทําให้ผู้ชมกลับไปคิดแก้ไขข้อบกพร่องในความคิดความเชื่อของตนเองและของสังคมโดยส่วนรวม จึงเรียกละครประเภทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า ละครตลกระดับสมอง (Intellectual Comedy)”ซึ่งจัดอยู่ในระดับวรรณกรรมเช่นกัน นักเขียนที่เป็นผู้นําในการประพันธ์ละครตลกนี้ ได้แก่ จอร์จ เบอร์นาร์ด ซอร์ (GeorgeBernard Shaw)
                     -ละครตลกประเภทสถานการณ์ (Situation Comedy)ละครตลกประเภทนี้มักเกิดจากเรื่องราวที่สับสนอลเวงประเภทผิดฝาผิดตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องบังเอิญแทบทั้งสิ้น ลักษณะของการแสดงก็มักจะออกท่าออกทางมากกว่าตลกชั้นสูง
                    -ละครตลกประเภทโครมคราม (Slapstick Comedy) ละครตลกประเภทนี้มีลักษณะเอะอะตึงตัง มักมีการแสดงประเภทวิ่งไล่จับกัน และการตีก็มักจะทําให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมมากว่าที่จะทําให้ให้ใครเจ็บจริงๆละครประเภทนี้มีความแตกต่างจากคอเมดีชั้นสูงมาก และมีความใกล้เคียงไปทางละครฟาร์สมากกว่า

                     -ละครรักกระจุ๋มกระจิ๋ม (Sentimental Comdy) และละครตลกเคล้าน้ําตา (Tearful Comedy) ละครตลกประเภทนี้ จัดอยู่ในประเภทละครเริงรมย์ที่เขียนขึ้นเพื่อให้ถูกใจตลาดเช่นเดียวกับละครชีวิตประเภทเมโลดรามา(Melodrama) และมีลักษณะใกล้เคียงไปทางเมโลดรามามากกว่าคอเมดี เพราะผู้เขียนให้ความเห็นอกเห็นใจกับตัวเอกมาก ผิดกับลักษณะของการเขียนประเภทคอเมดี ซึ่งมักจะล้อเลียน หรือเสียดสีโดยปราศจากความเห็นใจและความตลกของตัวเอก และความตลกของตัวเอกมักจะน่าเอ็นดู ส่วนใหญ่แล้วตลกมักจะมาจากตัวคนใช้หรือเพื่อนฝูงของพระเอกนางเอกมากกว่า
            3. ละครอิงนิยาย (Romance) เป็นเรื่องราวที่มนุษย์ใฝ่ฝันจะได้พบมากกว่าที่จะได้พบจริงๆ ในชีวิตประจําวัน ละครประเภทนี้มีลักษณะที่หลีกไปจากชีวิตจริงไปสู่ชีวิตในอุดมคติ รูปแบบของละครโรมานซ์นิยมการสร้างสรรค์อย่างมีสาระเต็มทีโดยไม่ยึดถือกฎเกณฑ์ใดๆ ผู้เขียนบทละครสามารถวางโครงเรื่องโดยนําเหตุการณ์มาต่อกันเป็นตอนๆ ในด้านภาพและเสียงและมักเป็นบทที่นําไปจัดแสดงด้วยฉาก แสง สี และเครื่องแต่งกายที่งดงามตระการตา ส่วนในด้านการแสดง ละครโรมานธ์นิยมใช้การเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล คล่องแคล้ว งดงาม และไม่พยายามลอกเลียนการกระทําที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงจนเกินไป อาจใช้ลีลาที่สร้างสรรค์ขึ้นให้มีความงดงามมากกว่าชีวิตจริงและเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ต้องการจะสื่อต่อผู้ชม

              4. ละครประเภทเริงรมย์ (Melodrama) หมายถึงละครที่ถือความสําคัญของโครงเรื่อง (Plot) หรือความสนุกสนานของการดําเนินเรื่องเป็นสําคัญ ตัวละครมีความสําคัญลองลงมา จึงใช้ตัวละครเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่อง ที่สนุกสนาน และเพื่อให้เข้าใจง่าย ติดตามท้องเรื่องได้ง่าย จึงนิยมใช้ตัวละครประเภท ตายตัว” (TypedCharacters) เช่นพระเอก นางเอก ผู้ร้ายเป็นต้น
              5. ละครสมัยใหม่ (Modern drama) มีแนวทางดังนี้
                   1) ละครสมัยใหม่แนว เหมือนชีวิตหรือเป็นธรรมชาติ” (Realism/Naturalism) หมายถึง ละครสมัยใหม่ที่พยายามมองชีวิตด้วยความเป็นกลาง แล้วสะท้อนภาพออกมาในรูปของละครตามความเป็นจริง โดยไม่เสริมแต่งหรือบิดเบือน ตลอดจนใช้วิธีการจัดเสนอที่ทําให้ละครมีความใกล้เคียงกับชีวิตมากที่สุดการเริ่มต้นละครยุคสมัยใหม่ ในราวปลายศตวรรษที่ 19 บรรดาผู้นําในด้านละครสมัยใหม่ต่างก็พากันปราศว่า ละครคือชีวิต” (Theatre is life itself) และการแสดงละครที่ถูกต้องคือการนําเอา แผ่นภาพชีวิต” (Sliceof Life) ที่เหมือนจริงทุกประการมาวางบนเวทีโดยไม่มีการดัดแปลง
                   2) ละครสมัยใหม่แนว ต่อต้านชีวิตจริง” (Anti-realism) เกิดขึ้นเมื่อราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีหลายแนวดังนี้
                      -ละครแนวสัญลักษณ์ (Symbolism) เป็นละครที่ใช้สัญลักษณ์ในการนําเสนอความเป็นจริงแทนที่จะหลอกภาพที่เหมือนมาแสดงแต่อย่างเดียว แต่จะอวดอ้างว่า ความจริงที่เสนอโดยใช้สัญลักษณ์ที่ลึกซึ่งกว่าความจริงที่ได้มาจากการลอกเลียนแบบธรรมชาติโดยใช้ทั้งการสัมผัส นอกจากจะคัดค้านการลอกแบบชีวิตจริงมาใช้ในการประพันธ์แล้ว ยังคัดค้านการสร้างฉากที่เหมือนจริง ตลอดจนการเน้นรายละเอียดและการใช้ข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับกาลเวลาและสถานที่ในการเสนอละครมากเกินไป นิยมใช้ฉาก เครื่องแต่งกายที่ดูเป็นกลางๆไม่จําเพาะเจาะจงว่าเป็นยุคใด แต่จะเน้นการใช้อารมณ์ บรรยากาศ และทําให้ฉาก แสง สี เครื่องแต่งกายเป็นสัญลักษณ์
                        -ละครแนวโรแมนติก (Romantic) หรือโรแมนติซิสม์ (Romantism) สมัยใหม่ เป็นละครที่สะท้อนให้เห็นจินตนาการ ความใฝ่ฝัน และอุดมคติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ แทนที่จะให้เห็นแต่อํานาจฝ่ายต่ําหรือตกเป็นทาสของสิ่งแวดล้อม
                       -ละครแนวเอกสเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) เป็นละครที่เสาะแสวงหาความจริงส่วนลึกของสมองและจิตใจมนุษย์ ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกับความจริงที่เห็นหรือจับต้องได้ ฉากในละครบางครั้งจึงมีลักษณะบูดเบี้ยวและมีขนาดแตกต่างไปจากความเป็นจริงมาก คือ เป็นภาพที่ถูกบิดเบือนไปตามความรู้สึกนึกคิดหรืออารมณ์ของตัวละคร ละครประเภทนี้ไม่ใช่การแสดงแบบเหมือนชีวิตหรือเป็นธรรมชาติ แต่อาจให้ตัวละครใส่หน้ากากหรือเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนต์ หรือแสดงการเคลื่อนไหวแบบอื่นๆที่เห็นว่าเหมาะสม
                    -ละครแนวเอพิค (Epic) เป็นละครที่มีอิสระในด้านลีลาการแสดง บทเจรจา และเทคนิคของการจัดเสนอที่ทําให้ดูห่างไกลจากแนวเหมือนชีวิต แต่ยังคงเสนอเรื่องราวที่ติดตามได้ มีเหตุผลตามสมควรและมีภาพสะท้อนเกี่ยวกับโลกและมนุษย์เสนอต่อผู้ชม แบร์โทลท์ เบรซท์ นักเขียนชาวเยอรมันเป็นคนสําคัญที่สุดที่ทําให้ละครแนวเอพิคได้รับความนิยมแพร่หลายทั่วโลก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น