ใบความรู้ ที่ 3
นาฏศิลป์สากลเพื่อนบ้านของไทย
ประเทศในกลุ่มทวีปเอเชีย
ซึ่งมีวัฒนธรรมประจําชาติ ที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์
ตลอดทั้งเป็นสื่อสัมพันธ์อันดีกับชาติต่าง ๆ
ลักษณะของนาฏศิลป์ของชาติเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นประเทศพม่า ลาวกัมพูชา มาเลเชีย จีน
ธิเบต เกาหลี และญี่ปุ่น มักจะเน้นในเรื่องลีลาความสวยงามเกือบทุกเรื่อง
ไม่เน้นจังหวะการใช้ เท้ามากนัก
ซึ่งแตกต่างจากนาฏศิลป์ของตะวันตกที่มักจะเน้นหนักในลีลาจังหวะที่รุกเร้า
ประกอบการเต้นที่รวดเร็วและคล่องแคล้ว
นาฏศิลป์ของชาติเพื่อนบ้านที่ควรเรียนรู้ได้แก่ ประเทศดังต่อไปนี้
1. นาฏศิลป์ประเทศพม่า
2. นาฏศิลป์ประเทศลาว
3. นาฏศิลป์ประเทศกัมพูชา
(เขมร)
4.
นาฏศิลป์ประเทศมาเลเชีย
5.
นาฏศิลป์ประเทศอินโดนีเซีย
6. นาฏศิลป์ประเทศอินเดีย
7. นาฏศิลป์ประเทศจีน
8. นาฏศิลป์ประเทศทิเบต
9. นาฏศิลป์ประเทศเกาหลี
10. นาฏศิลป์ประเทศญี่ปุ่น
นาฏศิลป์ประเทศพม่า
ลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่
2 พม่าได้รับอิทธิพลนาฏศิลป์ไปจากไทย
ก่อนหน้านี้นาฏศิลป์ของพม่าเป็นแบบพื้นเมืองมากกว่าที่จะได้รับอิทธิพลมาจากภายนอกประเทศเหมือนประเทศอื่นๆ
นาฏศิลป์พม่าเริ่มต้นจากพิธีการทางศาสนา ต่อมาเมื่อพม่าติดต่อกับอินเดียและจีน
ท่าร่ายรําของสองชาติดังกล่าวก็มีอิทธิพลแทรกซึมในนาฏศิลป์พื้นเมืองของพม่า
แต่ท่าร่ายรําเดิมของพม่านั้นมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องรามยะณะหรือมหาภารตะเหมือนประเทศเอเชียอื่นๆ
นาฏศิลป์และการละครในพม่านั้น แบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ
1. ยุคก่อนนับถือพระพุทธศาสนา
เป็นยุคของการนับถือผี การฟ้อนรําเป็นไปในการทรงเจ้าเข้าผี บูชาผีละบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
ต่อมาก็มีการฟ้อนรําในงานพิธีต่างๆเช่น โกนจุก เป็นต้น
2. ยุคนับถือพระพุทธศาสนา
พม่านับถือพระพุทธศาสนาหลังปี พ.ศ. 1559
ในสมัยนี้การฟ้อนรําเพื่อบูชาผีก็ยังมีอยู่
และการฟ้อนรํากลายเป็นส่วนหนึ่งของการบูชาในพระพุทธศาสนาด้วยหลังปี พ.ศ. 1800 เกิดมีการละครแบบหนึ่ง เรียกว่า “นิพัทขิ่น”
เป็นละครเร่
แสดงเรื่องพุทธประวัติเพื่อเผยแพร่ความรู้ในพระพุทธศาสนา
เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย
3. ยุคอิทธิพลละครไทย
หลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 ชาวไทยถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจํานวนมาก
พวกละครและดนตรีถูกนําเข้าไปไว้ในพระราชสํานัก จึงเกิดความนิยมละครแบบไทยขึ้น
ละครแบบพม่ายุคนี้เรียกว่า “โยธยาสัตคยี” หรือละครแบบโยธยา ท่ารํา ดนตรี
และเรื่องที่แสดงรวมทั้งภาษาที่ใช้ก็เป็นของไทย มีการแสดงอยู่ 2 เรื่อง คือ รามเกียรติ์ เล่นแบบโขน และอิเหนา เล่นแบบละครในในปี พ.ศ. 2328
เมียวดี ข้าราชการสํานักพม่าได้คิดละครแบบใหม่ขึ้นชื่อเรื่อง “อีนอง” ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง กับอิเหนามาก
ที่แปลกออกไปคือ ตัวละครของเรื่องมีลักษณะเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่มีกิเลส
มีความดีความชั่ว ละครเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดละครในแนวนี้ขึ้นอีกหลายเรื่องต่อมาละครในพระราชสํานักเสื่อมความนิยมลง
เมื่อกลายเป็นของชาวบ้านก็ค่อยๆ เสื่อมลงจนกลายเป็นของน่ารังเกียจเหยียดหยาม
แต่ละครแบบนิพันขิ่นกลับเฟื่องฟูขึ้น แต่มีการลดมาตรฐานลงจนกลายเป็นจําอวดเมื่อประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว
ในปี พ.ศ. 2428 ละครหลวงและละครพื้นเมืองซบเซาต่อมามีการละครที่นําแบบอย่างมาจากอังกฤษเข้าแทนที่
ถึงสมัยปัจจุบันละครคู่บ้านคู่เมืองของพม่าหาชมได้ยากและรักษาของเดิมไว้ไม่ค่อยจะได้
ไม่มีการฟื้นฟูกัน เนื่องจากบ้านเมืองไม่อยู่ในสภาพสงบสุข
นาฏศิลป์ประเทศลาว
เป็นประเทศหนึ่งที่มีโรงเรียนศิลปะดนตรีแห่งชาติ
ก่อกําเนิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 โดย Blanchat dela
Broche และเจ้าเสถียนนะ จําปาสัก ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ
การสอนหนักไปแนวทางพื้นบ้าน (ศิลปะประจําชาติ) ภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2518
ได้เข้าร่วมกับโรงเรียนศิลปะดนตรีของเท่าประเสิด สีสานน
มีชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนศิลปะดนตรีแห่งชาติ”ขึ้นอยู่กับกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนะธรรม มีครู 52 คน
นักเรียน 110 คนเรียนจบได้ประกาศนียบัตรชั้นกลาง
ผู้มีความสามารถด้านใดเป็นพิเศษจะได้รับการส่งเสริมให้เรียนต่อในต่างประเทศ
หรือทําหน้าที่เป็นครูหรือนักแสดงต่อไป วิชาที่เปิดสอนมีนาฏศิลป์ ดนตรี ขับร้อง
นาฏศิลป์จะสอนทั้งที่เป็นพื้นบ้าน ระบําชนเผ่า และนาฏศิลป์สากล ดนตรี
การขับร้องก็เช่นกัน สอนทั้งในแนวพื้นฐานและแนวสากล
นาฏศิลป์ประเทศกัมพูชา
(เขมร)
นาฏศิลป์เขมรนับได้ว่าเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง (Classical Dance)
มีต้นกําเนิดมาจากที่ใดยังไม่มีข้อสรุปผู้เชี่ยวชาญบางกล่าวว่ามาจากอินเดียเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษ
แต่บางท่านกล่าวว่ามีขึ้นในดินแดนเขมร-มอญ สมัยดึกดําบรรพ์
หาจะศึกษาข้อความจากศิลาจารึกก็จะเห็นได้ว่า นาฏศิลป์ชั้นสูงนี้มีขึ้นมาประมาณ 1,000 ปีแล้ว คือ
เมื่อศตวรรษที่ 7 จากศิลาจารึกในพระตะบอง
เมื่อศตวรรษที่ 10 จากศิลาจารึกในลพบุรี
เมื่อศตวรรษที่ 11 จากศิลาจารึกในสะด๊อกก๊อกธม
เมื่อศตวรรษที่ 12 จากศิลาจารึกในปราสาทตาพรหม
ตามความเชื่อของศาสนาพราหม์
นาฏศิลป์ชั้นสูงต้องได้มาจากการร่ายรําของเทพธิดาไพร่ฟ้าทั้งหลายที่รําร่ายถวายเทพเจ้าเมืองแมนแต่สําหรับกรมศิลปากรเขมร
สมัยก่อนนั้นเคยเป็นกรมละครประจําสํานักหรือเรียกว่า “ละครใน” พระบรมราชวังซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ต่อมา
“ละครใน” พระบรมมหาราชวังของเขมร
ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นกรมศิลปากร
และในโอกาสเดียวกันก็เป็นทรัพย์สินของชาติที่มีบทบาทสําคัญทางด้านวัฒนธรรม
ทําหน้าที่แสดงทั่วๆ ไปในต่างประเทศในปัจจุบันกรมศิลปากรและนาฏศิลป์ชั้นสูง
ได้รับความนิยมยกย่องขึ้นมาก ซึ่งนับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ
นาฏศิลป์เขมรที่ควรรู้จัก
1. ประเภทของละครเขมรแบ่งออกได้ดังนี้
1.1
ละครเขมรโบราณ เป็นละครดั้งเดิม ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน
ต่อมาผู้แสดงหญิงได้รับคัดเลือกโดยพระเจ้าแผ่นดินให้เป็นนางสนม
ครูสอนจึงหนีออกจากเมืองไปอยู่ตามชนบท
ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินจึงดูแลเรื่องการละครและได้โอนเข้ามาเป็นของหลวง จึงเปลี่ยนชื่อว่า
“ละครหลวง” (Lakhaon Luong)
1.2
ละครที่เรียกว่า Lakhaon Khaol เป็นละครซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์งานละครขึ้นใหม่ของบรรดาครูผู้สอนระดับอาวุโสที่หนีไปอยู่ในชนบท
การแสดงจะใช้ผู้ชายแสดงล้วน
1.3 Sbek Thom แปลว่า หนังใหญ่ เป็นการแสดงที่ใช้เงาของตัวหุ้นซึ่งแกะสลักบนหนัง
2. ประเภทของการร่ายรําแยกออกเป็น
2 ประเภท ดังนี้
2.1
นาฏศิลป์ราชสํานักเช่น
1) รําศิริพรชัย
เป็นการร่ายรําเพื่อประสิทธิพรชัย
2) ระบําเทพบันเทิง
เป็นระบําของบรรดาเทพธิดาทั้งหลาย
3) ระบํารามสูรกับเมขลา
เป็นระบําเกี่ยวกับตํานานของเมขลากับรามสูร
4) ระบําอรชุนมังกร
พระอรชุนนําบริวารเหาะเที่ยวชมตามหาดทรายได้พบมณีเมขลาที่กําลัง
เล่นน้ำอยู่ก็ร่วมมือกันรําระบํามังกร
5) ระบํายี่เก
แพร่หลายมากในเขมร เพลงและการร่ายรําเป็นส่วนประกอบสําคัญของการแสดง
ก่อนการแสดงมักมีการขับร้องระลึกถึง “เจนิ”
6) ระบํามิตรภาพ
เป็นระบําแสดงไมตรีจิตอันบริสุทธิ์ต่อประชาชาติไทย
2.2
นาฏศิลป์พื้นเมือง เช่น
1) ระบําสากบันเทิง
จะแสดงหลังจากการเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย
2) ระบํากรับบันเทิง
ระบําชุดนี้แสดงถึงความสนิทสนมในจิตใจอันบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวลูกทุ่ง
3) ระบํากะลาบันเทิง
ตามริมน้ําโขงในประเทศกัมพูชาชาวบ้านนิยมระบํากะลามากในพิธีมงคล สมรส
4) ระบําจับปลาเป็นระบําที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่โดยนักศึกษากรมศิลปากรหลังจากที่ได้ดูชาวบ้านจับปลาตามท้องนา
(ที่มา : สุมิตร เทพวงษ์,2541 : 156-278)
นาฏศิลป์มาเลเชีย
เป็นนาฏศิลป์ที่มีลักษณะคล้ายกับนาฏศิลป์ชวา
ซันตน และบาหลีมาก นาฏศิลป์ซันตนและบาหลีก็ได้รับอิทธิพลมาจากมาเลเชีย
ซึ่งได้รับอิทธิพลตกทอดมาจากพวกพราหมณ์ของอินเดียอีกทีหนึ่ง
ต่อมาภายหลังนาฏศิลป์บาหลี จะเป็นระบบอิสรามมากกว่าอินเดีย
เดิมมาเลเซียได้รับหนังตะลุงมาจากชวา และได้รับอิทธิพลบางส่วนมาจากอุปรากรจีน
มีละครบังสวันเท่านั้นที่เป็นของมาเลเซียเองในราวพุทธศตวรรษที่ 19 ถึง 20 ชวามีอิทธิพลและครอบครองมาเลเซียตอนใต้เป็นเมืองขึ้นของสุลต่านมายาปาหิตแห่งชวา
ที่มะละกานั้นเป็นตลาดขายเครื่องเทศที่ใหญ่ที่สุดของชวา ชาวมาเลเซียใช่ภาษาพูดถึง 3ภาษา คือมาลายู ชวา และภาษาจีน ซึ้งมีทั้งแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน
และกวางตุ้งชาวมาเลเซียรับหนังตะลุงจากชวา แต่ก็ได้ดัดแปลงจนเป็นของมาเลเซียไป
รวมทั้งภาษาพูดมาเลเซียอีกด้วย
นาฏศิลป์มาเลเชียที่ควรรู้จัก
1. ละครบังสวันของมาเลเซีย
เป็นละครที่สันนิษฐานได้ว่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษปัจจุบันนี้
เรื่องที่แสดงมักนิยมนํามาจากประวัติศาสตร์มาเลเซีย ละครบังสวันยังมีหลายคณะ
ปัจจุบันนี้เหลืออยู่ 2
คณะละครบังสวันเป็นละครพูดที่มีการร้องเพลงร่ายรําสลับกันไป ผู้แสดงมีทั้งชายและหญิง
เนื้อเรื่องตัดตอนมาจากประวัติศาสตร์ของอาหรับและมาเลเซีย
ปัจจุบันมักใช้เรื่องในชีวิตประจําวันของสังคมแสดง เวลาตัวละครร้องเพลงมีดนตรีคลอ
สมัยก่อนใช้เครื่องดนตรีพื้นเมือง สมัยนี้ใช้เปียโน กลอง กีตาร์ ไวโอลิน แซกโซโฟน
เป็นต้น ไม่มีลูกคู่ออกมาร้องเพลง การร่ายรํามีมาผสมบ้าง แต่ไม่มีความสําคัญมากนัก
ตัวละครแต่งตัวตามสมัยและฐานะของตัวละครในเรื่องนั้นๆ
ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็จะแต่งตัวมากแบบพระมหากษัตริย์
และจะแต่งหน้าแต่พองามจากธรรมชาติ แสดงบนเวที เวทีทําเป็นยกพื้น ซึ่งสร้างชั่วคราว
มีการชักฉากและมีหลืบ แสดงเวลากลางคืนและใช้เวลาแสดงเรื่องละ 3-5 ชั่วโมง
2. เมโนราทหรือมโนห์รา
คือ นาฏศิลป์ที่จัดว่าเป็นละครรํา ผู้แสดงจะต้องร่ายรําออกท่าทางตรงตามบทบาท
ลีลาการรําอ่อนช้อยสวยงาม
ละครรําแบบนี้จะพบที่รัฐกลันตันโดยเฉพาะเท่านั้นที่อื่นหาดูได้ยาก
ตามประวัติศาสตร์กล่าวกันว่า ละครรําแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรลิกอร์ (Ligor)
ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว การเจรจา
การร้องบทในเวลาแสดงใช้ภาษามาเล ตัวละครเมโนรานี้ใช้ผู้ชายแสดงทั้งหมด
การแต่งกายของตัวละครจะมีลักษณะแปลก คือมีการใส่หน้ากากรูปทรงแปลกๆ หน้ากากนั้นทาสีสันฉูดฉาดบาดตาเป็นรูปหน้าคน
หน้ายักษ์ หน้าปีศาจ หน้ามนุษย์นั้นมีสีซีดๆ แลดูน่ากลัว
เวลาแสดงสมหน้ากากเต้นเข้าจังหวะดนตรี ตัวละครคล้ายโขน นิยมแสดงเรื่องจักรๆวงศ์ๆ
ส่วนละครพื้นบ้าน เครื่องดนตรีที่บรรเลงในระหว่างการแสดงคือ กลอง 2 หน้าและกลองหน้าเดียว นอกจานั้นมีฆ้องราว ฆ้องวง ขลุ่ย ปี่
3. แมกยอง (Magyong)
มีลักษณะการแสดงเป็นเรื่องราวแบบละคร คล้ายโนราห์
และหนังตะลุงของไทย แมกยองเป็นศิลปะพื้นเมืองที่มีชื่อในหมู่ชาวกลันตัน ตรังกานู
การแสดง จะมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเรียกว่า Jong Dondang จะออกมาเต้นรําเบิกโรง
หลังจากนั้นก็เริ่มซึ่งเรื่องที่จะแสดงจะเกี่ยวกับวรรณคดี
4. การแสดงประเภทการร่ายรํา
4.1
ระบําซาปิน เป็นการแสดงฟ้อนรําหมู่ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นเมืองของมาเลเซียโบราณ
4.2 ระบําดรดัต
เป็นการเต้นรําพื้นเมือง ชุดนี้เป็นการเต้นในเทศกาลประเพณีทางศาสนา
4.3 ระบําอาชัค
เป็นการรําอวยพรที่เก่าแก่ในราชสํานักของมาเลเซียในโอกาสที่ต้อนรับราชอันตุกะ
4.4
ระบําอัสรี เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงในราชสํานักมาเลเซีย
ซึ่งแสดงออกถึงการเกี้ยวพาราสีอย่างสนุกสนานของหนุ่มสาวมาเลเซีย
4.5
ระบําสุมาชาว เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวมาเลเซียตะวันออก ได้แก่ แถบซาบาร์
การแสดงชุดนี้ชาวพื้นเมืองกําลังรื่นเริงกันในฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว
4.6 ว่าวบุหลัน
(ระบําว่าวรูปพระจันทร์) สําหรับการแสดงชุดนี้เป็นการประดิษฐ์ท่าทาง
และลีลาให้ดูคล้ายกับว่าว
4.7
จงอีหนาย
เป็นการรื่นเริงของชาวมาเลเซียหลังจากเก็บเกี่ยวจะช่วยกันสีข้าวและฝืดข้าวซึ่งจะเรียกระบํานี้ว่าระบําฝืดข้าว
4.8 เคนยาลัง
เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวซาบาร์ในมาเลเชียตะวันออก
การแสดงชุดนี้เป็นลีลาการแสดงที่คล้ายกับการบินของนกเงือก
4.9 ทดุง
ซะจี หรือระบําฝาชี
4.10
โจเก็ต เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียนิยมเต้นกันทั่วๆไปเช่นเดียวกับรําวงของไทย
4.11
ยาลาดัน เป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากพ่อค้าชาวอาหรับ
ลีลาท่าทางบางตอนคล้ายกับภาพยนตร์อาหรับราตรี
4.12 อีนัง
จีนา คือ ระบําสไบของชาวมาเลเซีย
ปกติหญิงสาวชาวมาเลเซียจะมีสไบคลุมศรีษะเมื่อถึงคราวสนุกสนานก็จะนําสไบนี้ออกมาร่ายรํา
4.13
การเดี่ยวแอคโคเดียนและขับร้องเพลง “คาตาวา ลากี” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่ามาสนุกเฮฮา เพลงนี้นิยมขับร้องกันแถบมะละกา
4.14 ลิลิน หรือระบําเทียนของมาเลเซีย
4.15 เดมปรุง (ระบํากะลา)
เมื่อเสร็จจากการเก็บเกี่ยว ชาวมาเลย์จะมีงานรื่นเริง
บ้างก็ขูดมะพร้าวและตําน้ำพริก จึงนํากะลามะพร้าวมาเคาะประกอบจังหวะกันอย่างสนุกสนาน
นาฏศิลป์ประเทศอินโดนีเซีย
นาฏศิลป์ประเทศอินโดนีเซียที่ควรรู้จัก
1. นาฏศิลป์ชวาแบ่งได้ดังนี้
1.1
แบบยอกยาการ์ตา คือ
การแสดงแบบอย่างของชาวชวาส่วนกลางจะสอนให้นักเรียนรู้จักนาฏยศัพท์ของชวาเสียก่อน (Ragam-Ragam)
และจะสอนรําจากง่ายไปหายากตามขั้นตอน การใช้ผ้าจะใช้ผ้าพันเอว
เรื่องของดนตรีจะดังและมีทํานองกับเส้นแบ่งจังหวะมาก
1.2
แบบซูราการ์ตา เป็นการแสดงส่วนกลาง การเรียนการสอนเหมือนกับยอกยาการ์ตา
แต่ท่ารําแปลกไปเล็กน้อย การใช้ผ้าก็จะใช้ผ้าแพรพาดไหล่
ดนตรีจะมีท่วงทํานองนุ่มนวลและราบเรียบ เส้นแบ่งจังหวะมีน้อย
2. นาฏศิลป์ซุนดาศิลปะของชาวซุนดาหนักไปทางใช้ผ้า
(Sumpun) ซึ่งมีลีลาเคลื่อนไหวได้สวยงามในการรําซุนดาที่เป็นมาตรฐานที่ชื่นชอบในปัจจุบันในชุมชนตะวันตกเฉพาะ
และในชุมชนอินโดนีเซียทั่วไป คือ รํา เดวี (Deve), เลยาปิน (Leyapon),
โตเปิง ราวานา (Topang Ravana), กวนจารัน (Kontjaran),
อันจาสมารา(Anchasmara), แซมบ้า (Samba),
เค็นดิท(Kendit), บิราจุง (Birajung) และ เรลาตี (Relate) นอกจากนี้ยังมีศิลปะที่บุคคลทั่วไปจะนิยมมาก
คือ รํา ไจปง (Jainpong) การเรียนการสอนเหมือนแบบ Yogyakarta
คือ สอนให้รู้จักนาฏยศัพท์ต่างๆ สอนให้รู้จักเดิน
รู้จักใช้ผ้าแล้วจึงเริ่มสอนจากง่ายไปหายาก
3. นาฏศิลป์บาหลีนาฏศิลป์บาหลีได้พัฒนาแตกต่างไปจากชวา
โดยมีลักษณะเร้าใจ มีชีวิตชีวามากว่าส่วนวงมโหรี (Gamelan) ก็จะมีจังหวะความหนักแน่น
และเสียงดังมากกว่าชวากลางที่มีท่วงทํานองช้าอ่อนโยนสิ่งสําคัญของบาหลีจะเกี่ยวกับศาสนาเป็นส่วนใหญ่
ใช้แสดงในพิธีทางศาสนาซึ่งมีอยู่ทั่วไปของเกาะบาหลีการสอนนาฏศิลป์แต่เดิมของบาหลีเป็นไปในทางตรงกัน
ครูจะต้องจัดท่าทาง แขน ขา มือ นิ้ว ของลูกศิษย์
จนกระทั่งลูกศิษย์สามารถเรียนได้คล่องแคล้วขึ้นใจเหมือนกับการเลียนแบบ
ซึ่งวิธีการสอนนี้ยังคงใช้อยู่จนกระทั่งปัจจุบันทั้งในเมืองและชนบท
สําหรับผู้ที่เริ่มหัดใหม่จะต้องผ่านหลักสูตรการใช้กล้ามเนื้ออ่อนหัดง่าย
ซึ่งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ร่ายรํา การก่มตัว มุมฉาก การเหยียด งอแขน เป็นต้น
ต่อมาผู้ฝึกจะเริ่มสอนนาฏศิลป์แบบง่ายๆ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เริ่มฝึก เช่น Pendet
Dance ของนาฏศิลป์บาหลี
สําหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆและจะสอนนาฏศิลป์แบบยากขึ้นเรื่อยๆไปจนถึง Legong
Kratonนาฏศิลป์อินเดียในอดีตการฟ้อนรําของอินเดียมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการบูชาพระศาสนา
และการแสดงออกของอารมณ์มนุษย์
การเกิดการฟ้อนรําของอินเดียนั้นได้หลักฐานมาจากรูปปั้นสาวกําลังรําทําด้วยโลหะสําริด
เทคนิคของนาฏศิลป์อินเดียจะเกี่ยวพันกับการใช้ร่างกายทั้งหมด จากกล้ามเนื้อดวงตา
ตลอดจนแขน ขา ลําตัว มือ เท้าและใบหน้า
การจัดแบ่งนาฏศิลป์ของอินเดียนั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1. นาฏศิลป์แบบคลาสสิก
2. นาฏศิลป์แบบพื้นเมือง
นาฏศิลป์แบบคลาสสิก
นาฏศิลป์แบบคลาสสิก
มีอยู่ 4 ประเภท คือ ภารตนาฏยัม (Pharata Natyam)คาธะคาลี (Kathakali)
คาธัค(Kathak) และมณีบุรี (Manipuri) นาฏศิลปคลาสสิกทั้งหมดมี 3 ลักษณะ
อย่างที่เหมือนกันคือ
1.1
นาฏยะ(Natya) นาฏศิลปินได้รับการส่งเสริมเหมือนในละคร
จากเวทีและฉากซึ่งส่งผลอันงามเลิศ
1.2
นริทยะ (Nritya) นาฏศิลปินจะถ่ายทอดหรือแปลนิยายเรื่องหนึ่ง
ตามธรรมดามักจะเป็นเรื่องของวีรบุรุษจากโคลง-กาพย์
1.3
นริทตะ (Nrita) เป็นนาฏศิลป์ที่บริสุทธิ์ประกอบด้วยลีลาการเคลื่อนไหวของร่างกายแต่อย่างเดียวเพื่อมีผลเป็นเครื่องตกแต่งประดับเกียรติยศและความงามนาฏศิลป์คลาสสิกทั้งหมดมีสิ่งเหมือนกันคือ
ลีลาชั้นปฐมตัณฑวะกับลาสยะ ซึ่งเป็นสื่อแสดงศูนย์รวมแห่งศรัทธาของหลักคิดแห่งปรัชญาฮินดู
“ตัณฑวะ”
หลักธรรมของเพศชายเป็นเสมือนการเสนอแนะความเป็นวีระบุรุษ แข็งแกร่ง
กล้าหาญ
“ลาสยะ”
หลักธรรมขั้นปฐมของเพศหญิง คือ ความอ่อนโยน นุ่มนวล งามสง่า
สมเกียรติ (ลักษณะพิเศษของนาฏศิลป์คลาสสิกของอินเดีย คือ
การแสดงตามหลักการได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง)
นาฏศิลป์คลาสสิกที่ควรรู้จัก
1. ภารตนาฏยัม
(Pharata Natyam) ภารตนาฏยัมเป็นการฟ้อนรําผู้หญิงเพียงคนเดียว
ซึ่งถือกําเนิดมาในโบสถ์วิหาร เพื่ออุทิศตนทําการศักการะด้วยจิตวิญญาณ
มีการเคลื่อนไหวที่สวยงาม แสดงท่าทางแทนคําพูดและดนตรี
2. คาธัค (Kathak)
หรือ กถัก
คาธัคเป็นนาฏศิลป์ของภาคเหนือซึ่งมีสไตล์การเต้นระบําเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่อย่างหนึ่ง
คาธัคไม่เหมือนภารตนาฏยัม โดยที่มีประเพณีนิยมการเต้นระบําทั้ง 2 เพศ คือชายและ หญิง และเป็นการผสมผสานระหว่างความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา
และของฆราวาสนอกวัด แหล่งกําเนิดของ “คาธัค” เป็นการสวดหรือการท่องอาขยาน
เพื่อสักการะหรือการแสดงด้วยท่าทางของคาธัคคารา
หรือมีผู้เล่านิยายเกี่ยวกับโบสถ์วิหาร ในเขตบราจของรัฐอุตตรประเทศ
พื้นที่เมืองมะธุระ วิรินทราวัน
อันเป็นสถานที่ซึ่งเชื่อถือกันว่าพระกฤษณะได้ประสูติที่นั่น
ด้วยเหตุนี้ชื่อนาฏศิลป์แบบนี้ก็คือ “บะราชราอัส”
3. มณีบุรี (Manipuri)
หรือ มณีปูร์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
แวดล้อมไปด้วยเทือกเขาเป็นหุบเขาอันสวยงามของ “มณีปูร์”
นาฏศิลป์ของมณีปูร์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเพื่อบูชาสักการะท่วงท่าของลีลาฟ้อนรําอันสง่างาม
พื้นรองเท้าที่แตะอย่างแผ่วเบาและความละเมียดละไมของมือที่ร่ายรําไปมา
ทําให้นาฏศิลป์ของมณีปุรีแยกออกจากโครงสร้างทางเลขาคณิต (ประกอบด้วยเส้นตรงและวงกลม)
ของภารตนาฏยัม และมีลีลาตามระยะยาวอย่างมีคุณภาพของ “คาธัค”
4. โอดิสสิ (Odissi)
รัฐ “โอริสสา”อยู่บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก
เป็นแหล่งกําเนิดของรูปแบบนาฏศิลป์ “โอดิสสิ” เป็นที่รู้จักกันว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกทางอารมณ์สูง และมีท่วงทํานองโคลงอันร่าเริง
ลีลาการเคลื่อนไหวร่ายรํา มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
จากระบบแผนนาฏศิลป์คลาสสิกอื่นๆในอินเดีย
5. คูชิปูดี (Kuchipudi)
รูปแบบนาฏศิลป์ที่งดงามล้ําเลิศนี้ได้ชื่อมาจากหมู่บ้านชนบทในรัฐอันตรประเทศ
อันเป็นถิ่นที่ได้ก่อกําเนิดของนาฏศิลป์แบบนี้
เหมือกับแบบของการละครฟ้อนรําด้วยเรื่องราวทางศาสนา
6. คาธะคาลี (Kathakali)
หรือกถกฬิ นาฏศิลป์ในแบบอินเดียที่สําคัญมากที่สุดก็คือ
คาธะคาลีจากรัฐเคราลา (ในภาคใต้ของอินเดีย)
เป็นนาฏศิลป์ที่ได้รวมส่วนประกอบของระบําบัลเลต์ อุปกรณ์
ละครใบ้และละครโบราณแสดงอภินิหาร และปาฏิหาริย์ของปวงเทพ
ทั้งยังเป็นการฝึกซ้อมพิธีการทางศาสนาในการเพาะกายอีกด้วย
7. ยัคชากานา
บายาลาตะยัคซากานาเป็นรูปแบบนาฏศิลป์การละคร
มีลีลาการเคลื่อนไหวอันหนักแน่นและมีคําพรรณนาเป็นบทกวีจากมหากาพย์อินเดีย
ซึ่งนาฏศิลป์อินเดียได้แสดงและถ่ายทอดให้ได้เห็นและซาบซึ่งในยัคซากานา (Yokshagana)
ไม่เพียงแต่จะมีดนตรี
และการก้าวตามจังหวะฟ้อนรําเป็นของตนเองเท่านั้น
แต่การแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายแบบ อาฮาระยะ อภินะยะ
ได้รับพิจารณาลงความเห็นโดยผู้เชียวชาญบางท่านว่าหรูหรางดงามและสดใสยิ่งกว่า
คาธะคาลี
8. ชะฮู (Chhau)
ชะฮูเป็นนาฏศิลป์ที่ผสมผสานระหว่างคลาสสิกแท้กับระบําพื้นเมืองทั้งหมด
ซึ่งไม่ได้เป็นของถิ่นใดๆ โดยเฉพาะ หากแต่เป็นนาฏศิลป์อันยิ่งใหญ่ของ 3 รัฐ คือ รัฐพิหาร รัฐโอรสสา และรัฐเบงกอล
นาฏศิลป์จีน
นาฏศิลป์จีนพัฒนามาจากการฟ้อนรํามาตั้งแต่โบราณ
มีหลักฐานเกี่ยวกับระบําต่างๆ ที่เกิดขึ้นของนาฏศิลป์จีน ดังนี้
1. สมัยราชวงศ์ซึ่งถึงราชวงศ์โจวตะวันตก
มีระบําเสาอู่ ระบําอู่อู่
ปรากฏขึ้นเป็นระบําที่มุ่งแสดงความดีความชอบของผู้ปกครองฝ่ายบุ้น
และฝ่ายบู้ของราชการสมัยนั้น
2. สมัยปลายราชวงศ์โจวตะวันตก
มีคณะแสดงเรียกว่า “อิว” มาจากพวกผู้ดี
หรือเจ้าครองแคว้นได้รวบรวมจัดตั้งเป็นคณะขึ้น แบ่งเป็น ชางอิว
คือนักแสดงฝ่ายหญิงแสดงการร้องรํา และไผอิว คือคณะนักแสดงฝ่ายชาย
แสดงทํานองชวนขันและเสียดสี
3. สมัยราชวงศ์ฮั่น
ได้มีการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับชนชาติต่างๆ
ทําให้เกิดการแสดงต่างๆขึ้น คือ ไป่ซี คือละครผสมผสานของศิลปะนานาชาติและเจี่ยวตี่ซี่
คือ ละครผูกเป็นเรื่อง มีลักษณะผสมระหว่างการฟ้อนรํากับกายกรรม
4. สมัยราชวงศ์จิ้น
ราชวงศ์ใต้-เหนือ ถึงปลายสมัยราชวงศ์สุย
การแลกเปลี่ยนผสมผสานในด้านระบําดนตรีของชนชาติต่างๆได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง
5. ราชวงศ์ถัง
เป็นสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมยุคศักดินาของจีนเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่
มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ได้แก่
5.1
เปี่ยนเหวินหรือสูเจียง
เป็นนิยายที่ใช้ภาษาง่ายๆมาเล่าเป็นนิทานทางศาสนาด้วยภาพที่เข้าใจง่ายหลังจากนั้นมีการขับร้องและเจรจา
5.2 ฉวนฉี่
เป็นนิยายประเภทความเรียง โครงเรื่องแปลก เรื่องราวซับซ้อน
5.3
เกออู้สี้ เป็นศิลปะการแสดงที่มีบทร้อง เจรจา แต่งหน้า แต่งตัว อุปกรณ์เสริมบนเวที
ฉาก การบรรเลงเพลง คนพากย์ เป็นต้น
5.4
ซันจุนสี้ เป็นการพลัดกันซักถามโต้ตอบสลับกันไปของตัวละคร 2
ตัว คือ “ซันจุน”และ “ช่างถู้”โครงเรื่อง เป็นแบบง่ายๆ มีด้นกันสดๆ
เอาการตลกเสียดสีเป็นสําคัญ
6. สมัยราชวงศ์ซึ่ง
ศิลปะวรรณคดีเจริญรุ่งเรืองมาก พร้อมทั้งมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้แก่
การแสดงดังต่อไปนี้
6.1
ฮว่าเปี่นหรือหนังสือบอกเล่าเป็นวรรณคดีพื้นเมืองที่เกิดขึ้น
6.2
หว่าเส่อ คือ ย่านมหรสพที่เกิดขึ้นตามเมืองต่างๆ
6.3 ซูฮุ้ย
คือ นักแต่งบทละคร ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยนี้
6.4 ละคร “จ่าจิ้ว” ภาคเหนือหรืองิ้วเหนือ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทบทเจรจาเป็นหลักและประเภทร้องรําเป็นหลัก ซึ่งก็คือ
อุปรากร
6.5
ละครหลานลี้หรืองิ้วใต้ ประยุกต์ศิลปะขับร้องกับเล่านิทานพื้นบ้านเข้าด้วยกัน
7. สมัยราชวงศ์หยวน
เป็นสมัยที่ละครหนานลี้เริ่มแพร่หลาย
และได้รับความนิยมจนละครจ่าจิ้วต้องปรับรายการแสดงเป็นหนานลี้
ละครหนานลี้นับเป็นวิวัฒนาการของการสร้างรูปแบบการแสดงงิ้วที่เป็นเอกลักษณ์ของจีน
ทั้งยังส่งผลสะท้อนให้แก่งิ้วในสมัยหลังเป็นอย่างมากการแสดงงิ้วในปัจจุบัน
งิ้วมีบทบาทในสังคมของจีนโดยทั่วไป โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ทุกจังหวัด
ประเภทของงิ้วที่แสดงในปัจจุบันพอจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้ เช่น
1) จิงจวี้
หรือ ผิงจวี้ หรืองิ้วงัวกัง เป็นงิ้วชั้นสูงเป็นแม่บทของงิ้วอื่นๆ
2) งิ้วแต่จิ๋วหรือไป่จื้อซี่
ผู้แสดงมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นที่นิยมที่สุดในปัจจุบัน
3) งิ้วไหหลํา
ใช้บทพูดจีนไหหลํา การแสดงคล้ายงิ้วงัวกัง
4) งิ้วกวางตุ้ง
ใช้บทเจรจาเป็นจีนกวางตุ้ง มักแสดงตามศาลเจ้า
ลักษณะของงิ้วงิ้วที่คนไทยส่วนใหญ่ได้พบเห็นในปัจจุบันเป็นประจํานั้น
มีลักษณะหลายอย่างดังนี้
1) มักนิยมแสดงตามหน้าศาลเจ้าต่างๆ
ในงานเทศกาลของแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ ที่จัดขึ้นโดยคนจีน
2) แนวความคิดนั้นเป็นการผสานความคิดของลัทธิเต๋าและแนวคําสอนของขงจื้อ
3) เน้นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวหน้าที่ที่มีต่อกัน
4) เน้นเรื่องความสําคัญของสังคมที่มีเหนือบุคคล
5) ถือความสุขเป็นรางวัลของชีวิต ความตายเป็นการชําระล้างบาป
6) ตัวละครเอกต้องตาย
ฉากสุดท้ายผู้ทําผิดจะได้รับโทษ
7) ถือว่าฉากตายเป็นฉาก Climaxของเรื่อง
8) จะต้องลงด้วยข้อคิดสอนใจ
9) ชนิดของละครมีทั้งโศกปนสุข
10) ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อของเคราะห์กรรม
11) ใช้ผู้ชายแสดงบทผู้หญิงสมัยโบราณ
ปัจจุบันใช้ชายจริงหญิงแท้
ผู้แสดง งิ้วโบราณนั้นกําหนดตัวแสดงงิ้วไว้ต่างๆกันคือ
1) เชิง คือ
พระเอก
2) ต๋าน คือ
นางเอก
3) โฉ่ว
หรือเพล่าทิ่ว คือ ตัวตลก
4) จิ้งหรืออูเมียน
(หน้าดํา) คือ ตัวผู้ร้าย เช่น โจโฉ
5) เมอะหรือเมอะหนี
หรือ โอชา รับบทพวกคนแก่
6) จ่าหรือโชวเกี่ยะ
ตัวประกอบเบ็ดเตล็ด เช่น พลทหาร คนใช้ เป็นต้น
นาฏศิลป์ทิเบต
นาฏศิลป์ทิเบตนั้นการร่ายรําจะเกี่ยวพันกับพิธีบวงสรวงเจ้า
เซ่นวิญญาณ หรือพิธีกรรมทางพุทธสาสนาทิเบต
มักจะแสดงเป็นเรื่องราวตามตํานานโบราณที่มีมาแต่อดีต
โดยจะแสดงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นในวัด เป็นต้น
ในการแสดงจะมีการร่ายรําตามจังหวะเสียงดนตรี ผู้แสดงจะสวมหน้ากาก
สมมติตามเรื่องราวที่บอกไว้ ผู้แสดงต้องฝึกมาพิเศษ หากเกิดความผิดพลาดจะทําให้ความขลังของพิธีขาดไป
พิธีสําคัญ เช่น พิธีลาซัม ที่เป็นวิธีบูชายัญที่จัดขึ้นในบริเวณหน้าวัด
เนื่องในงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
พิธีดังกล่าวนี้อาจพูดๆได้ว่าเป็นการร่ายรํา บูชายัญด้วยการเล่นแบบโขน
และเต้นรําสวมหน้ากาก ตรงกลางที่แสดงจะมีรูปปั้นมนุษย์ทําด้วยแป้งข้าวบาร์เลย์
กระดาษ หรือหนังยัค (วัวที่มีขนดก)
การทําพิธีบูชายัญถือว่าเป็นการทําให้ภูตผีปีศาจเกิดความพอใจ ไม่มารบกวน
และวิญญาณจะได้ไปสู่สวรรค์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการขับไล่ภูตผีปีศาจ
หรือกําจัดความชั่วร้ายที่ผ่านมาในปีเก่าเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความสุขในการแสดงจะมีผู้ร่วมแสดง
2
กลุ่ม กลุ่มหนึ่งสวมหมวกทรงสูง ซึ่งเรียกชื่อว่า นักเต้นหมวกดํา
และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นตัวละครที่ต้องสวมหน้ากาก
กลุ่มที่สวมหน้ากากก็มีผู้ที่แสดงเป็นพญายม
ซึ่งสวมหน้ากากเป็นรูปหัววัวมีเขาผู้แสดงเป็นวิญญาณของปีศาจก็สวมหน้ากากรูปกะโหลก
เป็นต้น
ตัวละครจะแต่งกายด้วยชุดผ้าไหมอย่างดีจากจีนการร่ายรําหรือการแสดงละครในงานพิธีอื่นๆ
มักจะเป็นการแสดงเรื่องราวตามตํานานพุทธประวัติเกียรติประวัติของผู้นําศาสนาในทิเบต
ตํานานวีรบุรุษ วีรศตรี
ตลอดจนกระทั่งนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงอิทธิปาฏิหาริย์ในอดีตการแสดงดังกล่าวเป็นที่นิยมของชาวทิเบตในทั่วไป
ต่างถือว่าหากใครได้ชมก็พลอยได้รับกุศลผลบุญในพิธีหรือมีความเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นการชมด้วยความเคารพเลื่อมใส
นาฏศิลป์เกาหลี
วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เกาหลีก็ทํานองเดียวกับของชาติอื่นๆมักจะเริ่มและดัดแปลงให้เป็นระบําปลุกใจในสงครามเพื่อให้กําลังใจแก่นักรบ
หรือไม่ก็เป็นพิธีทางพุทธศาสนา
หรือมิฉะนั้นก็เป็นการร้องรําทําเพลงในหมู่ชนชั้นกรรมมาชีพ หรือแสดงกันเป็นหมู่
นาฏศิลป์ในราชสํานักนั้นก็มีมาแต่โบราณกาลเช่นเดียวกันนาฏศิลป์เกาหลีสมบูรณ์ตามแบบฉบับทางการละครที่สุดและเป็นพิธี
รีตรอง ได้แก่ ละครสวมหน้ากาก
ลักษณะของนาฏศิลป์เกาหลี
ลีลาอันงดงามอ่อนช้อยของนาฏศิลป์เกาหลีอยู่ที่การเคลื่อนไหวร่างกายและเอวเป็นสําคัญ
ตามหลักทฤษฎี นาฏศิลป์เกาหลีมี 2 แบบ คือ
1. แบบแสดงออกซึ่งความรื่นเริง
โอบอ้อมอารี และความอ่อนไหวของอารมณ์
2. แบบพิธีการ
ซึ่งดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมและประเพณีทางพุทธศาสนา
จุดเด่นของนาฏศิลป์เกาหลีมีลักษณะคล้ายนาฏศิลป์สเปนผู้แสดงเคลื่อนไหวทั้งส่วนบนและส่วนล่างของร่างกาย
นาฏศิลป์เกาหลีที่ควรรู้จัก
1.ละครสวมหน้ากาก
เนื้อเรื่องมักคล้ายคลึงกัน ลีลาการแสดงนั้นนําเอานาฏศิลป์แบบต่างๆ
มาปะติดปะต่อกัน
2. ระบําแม่มด
เป็นนาฏศิลป์อีกแบบหนึ่ง
และการร้องรําทําเพลงแบบลูกทุ่งนั้นก็มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
3. ระบําบวงสรวงในพิธีและระบําประกอบดนตรีที่ใช้ในพิธีราชสํานักซึ่งประกอบด้วยบรรยากาศอันงดงามตระการตาน่าชมมาก
นาฏศิลป์ญี่ปุ่น
ประวัติของละครญี่ปุ่นเริ่มต้นประมาณศตวรรษที่
7 แบบแผนการแสดงต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในครั้งยังมีเหลืออยู่
และปรากฏชัดเจนแสดงสมัยปัจจุบันนี้ ได้แก่ ละครโน๊ะ ละครคาบูกิ ปูงักกุ ละครหุ้นบุนระกุ
ละครชิมปะ
และละครทาคาราสุกะการกําเนิดของละครญี่ปุ่นกล่าวกันว่ามีกําเนิดมาจากพื้นเมืองเป็นปฐมกล่าวคือ
วิวัฒนาการมาจากกการแสดงระบําบูชาเทพเจ้าแห่งภูเขาไฟ
และต่อมาญี่ปุ่นได้รับแบบแผนการแสดงมาจากประเทศจีน
โดยได้รับผ่านประเทศเกาหลีช่วงหนึ่ง
นาฏศิลป์ญี่ปุ่นที่ควรรู้จัก
1.ละครโน๊ะเป็นละครแบบโบราณ
มีกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนในการแสดงมากมาย
ในปัจจุบันถือเป็นศิลปะชั้นสูงประจําชาติของญี่ปุ่นต้องอนุรักษ์เอาไว้ในปี พ.ศ. 2473 วงการละครโน๊ะของญี่ปุ่นได้มีการเคลื่อนไหวที่จะทําให้ละครประเภทนี้ทันสมัยขึ้นโดยจุดประสงค์เพื่อประยุกต์การเขียนบทละครใหม่ๆที่มีเนื้อเรื่องที่ทันสมัยขึ้น
โดย และใช้ภาษาปัจจุบัน รวมทั้งให้ผู้แสดงสวมเสื้อผ้าแบบทันสมัยนิยมด้วย
และยังมีสิ่งใหม่ๆ ที่นํามาเพิ่มเติมด้วยก็คือ ให้มีการร้องอุปรากร
การเล่นดนตรีราชสํานักงะงักกุ และการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ซึ่งละครแบบ
ประยุกต์ใหม่นี้เรียกว่า“ชินชากุโน”บทละครโน๊ะ
ทางด้านบทละครโน๊ะนั้นมีชื่อเรียกว่า “อูไท” (บทเพลงโน๊ะ โดยแสดงในแบบของการร้อง)
อูไทนี้ได้หลีกต่อการใช้คําพูดที่เพ้อเจ้อฟุ่มเฟื่อยอย่างที่ดี
แต่จะแสดงออกด้วยทํานองอันไพเราะที่ใช่ประกอบกับบทร้องที่ได้กลั่นกรองจนสละสลวยแล้วบทละครโน๊ะทั้งอดีตและปัจจุบันมีอยู่ประมาณ
1,700 เรื่อง แต่นําออกแสดงอย่างจริงจัง 40 เรื่องเท่านั้นเนื้อเรื่องก็มีเรื่องราวต่างๆกัน
โดยเป็นนิยายเกี่ยวกับนักรบ หรือเรื่องความเศร้าของผู้หญิงซึ่งเป็นนางเอกในเรื่องและตามแบบฉบับของการแสดง
ลักษณะของละครโน๊ะ
1) ยูเงน-โน๊ะ
ผู้แสดงเป็นตัวเอก (ชิเตะ)
ของละครยูเงน-โน๊ะจะแสดงบทของบุคคลผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้วหรือแสดงบทตามความคิดฝึน
โดยเค้าจะปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านชนบทหรือสถานที่เกิดเหตุการณ์นั้นๆและมีการแสดงเดี่ยวเป็นแบบเรื่องราวในอดีต
2) เงนไซ-โน๊ะ
ผู้แสดงเป็นตัวเอก (ชิเตะ) ของละคร เงนไซ-โน๊ะ จะแสดงบทบาทของบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ
ซึ่งโครงเรื่องของละครนั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาในโลกของการคิดฝึนเวทีละครโน๊ะ
เวทีแสดงละครโน๊ะมีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวประมาณด้านละ5.4เมตรมีเสามุมละต้นพื้นเวทีและหลังคาทําด้วยไม้สนญี่ปุ่น
ซึ่งวัสดุก่อสร้างที่เห็นสะดุดตาของเวที คือ
ระเบียงทางเดินที่ยื่นจากเวทีทางขวามือตรงไปยังด้านหลังของเวที
ส่วนฝาผนังทางด้านหลังเวทีละครโน๊ะเป็นฉากเลื่อนด้วยละครสนญี่ปุ่นและบนฉากก็จะเขียนภาพต้นสนอย่างสวยงามในแบบศิลปะอันมีชื่อว่า
โรงเรียนคาโน๊ะตามประวัติกล่าวว่า เวทีละครโน๊ะเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีเหลืออยู่
คือเวทีละครโน๊ะภาคเหนือ ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2124
ที่บริเวณวัดนิชิออน งันจิ เมืองเกียวโต
และได้รับการยกย่องว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติเครื่องดนตรีเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการแสดงละครโน๊ะนั้น
ใช้เพียงเครื่องดนตรีชนิดเคาะที่จะเป็นบางชิ้นเท่านั้นเช่นกลองขนาดเล็ก
(โคทสึซึมิ) กลองมือขนาดใหญ่ (โอสึซึมิ) และกลองตี (ไตโกะ)
และเครื่องเป่ามีชนิดเดียว คือ ขลุ่ย (ฟูเอะ)
2. ละครคาบูกิเป็นละครอีกแบบหนึ่งของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมมากกว่าละครโน๊ะ
มีลักษณะเป็นการเชื่อมประสานความบันเทิงจากมหรสพของยุคเก่าเข้ากับยุคปัจจุบันคําว่า
“คาบูกิ” หมายถึง
การผสมผสานระหว่างโอเปร่า บัลเล่ต์ และละคร ซึ่งมีทั้งการร้อง การรํา
และการแสดงละคร
ลักษณะพิเศษของละครคาบูกิ
1) ฮานามิชิ
แปลว่า “ทางดอกไม้” เป็นสะพานไม้กว้างราว
4ฟุตอยู่ทางซ้ายของเวที
ยื่นมาทางที่นั่งของคนดูไปจนถึงแถวหลังสุด
เวลาตัวละครเดินเข้ามาหรือออกไปทางสะพานนี้
2) คู โร โง
แปลว่า นิโกร จะแต่งตัวชุดดํา มีหน้าที่คอยช่วยเหลือผู้แสดงในด้านต่างๆ เช่น
การยกเก้าอี้ให้ผู้แสดง หรือทําหน้าที่เป็นคนบอกบทให้ผู้แสดงด้วย
3) โอ ยา มา
หรือ โอนนะกะตะ ใช้เรียกตัวละครที่แสดงบทผู้หญิง
4) “คิ”
ใช้เรียกผู้เคาะไม้ ไม้ที่เคาะหนาประมาณ 3
นิ้ว ยาวราว 1 ฟุต
5) หน้าโรง
ละครคาบูกิที่ขึ้นชื่อจะต้องแขวนป้ายบอกนามผู้แสดง
และตราประจําตระกูลของผู้นั้นไว้ด้วยหน้าโรง
3. บูงักกุลักษณะการแสดงเป็นการแสดงที่มีลักษณะเป็นการร่ายรําที่แตกต่างจากการร่ายรําของญี่ปุ่นแบบอื่น
คือ
1) บูงักกุ
จะเน้นไปในทางร่ายรําล้วนๆ มากกว่าที่จะเน้นเนื้อหาของบทละคร
ซึ่งถือว่ามีความสําคัญน้อยกว่าการร่ายรํา
2) ท่ารําบูงักกุ
จะเน้นส่วนสัดอันกลมกลืน ไม่เฉพาะในการรําคู้
แม้ในการรําเดี่ยวก็มีหลักเกณฑ์แบบเดียวกันสถานที่แสดงธรรมเนียมของบูงักกุที่จะต้องแสดงบนเวทีกลางแจ้ง
ในสนามของคฤหาสน์ใหญ่ๆ หรือวิหารหรือวัด ตัวเวทีทาสีขาวนั้นมีผ้าไหมยกดอกสีเขียว
รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้านละ 18 ฟุต ปูอยู่ตรงกลางเป็นที่ร่ายรํามีบันไดขัดมันสีดําทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเวที
สําหรับเวทีตามแบบฉบับที่ถูกต้อง จะต้องมีกลองใหญ่ 2
ใบตั้งอยู่ด้านหลังของเวที แต่ละใบประดับลวดลาย มีสีแดงเพลิง
มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 ฟุตบทละคร
บทละครของบูงักกุมีอยู่ประมาณ 60 เรื่องซึ่งรับช่วงต่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ตามวัตถุประสงค์ คือ
1) ตามแบบฉบับการร่ายรําของท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าเป็นต้นกําเนิดของบทละคร
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ประเภทที่เรียกว่า
“ซาไม” หรือการรําซ่าย ซึ่งรวมแบบร่ายรําจากจีน
อินเดีย
- ประเภทที่เรียกว่า
“อุไม” หรือแบบการรําขวา
ซึ่งรวมแบบการร่ายรําแบบเกาหลีและแบบอื่นๆ
2) ตามวัตถุประสงค์ของการแสดงซึ่งแบ่งประเภทร่ายรําออกเป็น
4 ประเภท คือ
-แบบบุไม หรือการร่ายรําในพิธีต่างๆ การร่ายรํา “ซุนเดกะ”ก็รวมอยู่ด้วย
-แบบบูไม หรือการร่ายรํานักรบ
การรําบท “ไบโร”รวมอยู่ในแบบนี้ด้วย
-แบบฮาชิริไบ หรือการร่ายรําวิ่ง
และรวมบทรําไซมากุซ่าและรันเรียวโอะไว่ด้วย
-แบบโดบุ หรือการร่ายรําสําหรับเด็กมีการรําซ่าย
“รันเรียวโอะ”รวมอยู่ด้วย
4. ละครหุ้นบุนระกุกําเนิดของละครหุ้นบุนระกุ
นับย้อนหลังไปถึงศตวรรษที่ 16
แบบฉบับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 18
การแสดงละครหุ้นบุนระกุมีเป็นประจําที่โรงละครบุนระกุช่า ในละครโอซากา
และมีการแสดงในโตเกียวเป็นครั้งคราว ตัวหุ้นประณีตงดงามมีขนาดครึ่งหนึ่งขององค์จริง
ผู้ที่ควบคุมให้หุ้นเคลื่อนไหวในท่าต่างๆ นั้นมีถึง 3 คน
การแสดงหุ้นมีการบรรยายและดนตรีซามิเซนประกอบ
ทําให้เกิดภาพแสดงอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์
5. ละครชิมปะคือละครที่ทําหน้าที่เป็นประหนึ่งสะพานเชื่อมระหว่างละครสมัยเก่าและละครสมัยใหม่ชิมปะนี้ก่อกําเนิดขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่
19 และมีลักษณะดั่งเดิมคล้ายคาบูกิ เช่น
แต่เดิมใช้ตัวแสดงเป็นชายล้วน แต่ปัจจุบันมีแผนการแสดงตามธรรมชาติ
โดยปกติแสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านคนธรรมดา และตัวแสดงมีทั้งชายและหญิง
6. ละครทาคาราสุกะ
เป็นละครสมัยใหม่แบบเฉลิมไทย แต่มีระบํามากมายหลายชุดและร้องเพลงสลับเรื่องชนิดนี้
เรียกว่า ทาคาราสุกะ ประชาชนนิยมดูกันมาก เพราะมักเป็นเรื่องตลก
ตัวระบําแต่ละตัวมาจากผู้หญิงนับพัน
ละครทาคาราสุกะนี้อาจจะแสดงเป็นเรื่องญี่ปุ่นล้วน หรือเป็นเรื่องฝรั่งแต่งตัวแบบตะวันตก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น