วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

3.2 สุนทรียะทางนาฏศิลป์


ใบความรู้ ที่ 2

สุนทรียะทางนาฏศิลป์

ความหมายสุนทรียะทางนาฏศิลป์
                    สุนทรียะ (Aesthetic) หมายถึง ความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งสวยงาม รูปลักษณะอันประกอบด้วยความสวยงาม(พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 : 541)นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของคําว่า สุนทรียะไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
                  *หลวงวิจิตรวาทการ ได้อธิบายความหมายไว้ว่า ความรู้สึกธรรมดาของคนเรา ซึ่งรู้จักคุณค่าของวัตถุที่งามความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเสียงและถ้อยคําไพเราะ ความรู้สึกความงามที่เป็นสุนทรียภาพนี้ย่อมเป็นไปตามอุปนิสัยการอบรมและการศึกษาของบุคคล ซึ่งรวมเรียนว่า รส (Taste) ซึ่งความรู้สึกนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปรนปรือในการอ่าน การฟัง และการพินิจดูสิ่งที่งดงามไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือศิลปะ(หลวงวิจิตรวาทการ 2515 : 712)
                    *อารี สุทธิพันธุ์ ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ สุนทรียศาสตร์ไว้ 2 ประการ ดังนี้
                    1. วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งทําให้มนุษย์เกิดความเบิกบานใจอิ่มเอมโดยไม่หวังผลตอบแทน
                    2. วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิชาที่มนุษย์สร้างขึ้นทุกแขนง นําข้อมูลมาจัดลําดับเพื่อนเสนอแนะให้เห็นคุณค่าซาบซึ้งในสิ่งที่แอบแฝงซ่อนเร้น เพื่อสร้างความนิยมชมชื่นร่วมกัน ตามลักษณะรูปแบบของผลงานนั้น ๆ (อารีสุทธิพันธุ์, 2534: 82)
                     ความหมายของคําว่า สุนทรียะหมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีความซาบซึ้ง และเห็นคุณค่าในสิ่งดีงาม และไพเราะจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรืออาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีต ซึ่งมนุษย์สัมผัสและรับรู้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความพึงพอใจ ความประทับใจและทําให้เกิดความสุขจากสิ่งที่ตนได้พบเห็นและสัมผัส
                      ความหมายของคําว่า นาฏศิลป์หมายถึง ศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรํา (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2534 : 279) นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของคําว่า นาฏศิลป์ไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
                       *ธนิต อยู่โพธิ์ ได้แปลคําว่า นาฏศิลป์ไว้ว่า คือความช่ำชองในการละครฟ้อนรําด้วยมีความเห็นว่าผู้ที่มีศิลปะที่เรียกว่า ศิลปินจะต้องเป็นผู้มีฝีมือมีความช่ําชองชํานาญในภาคปฏิบัติให้ดีจริง ๆ (ธนิต อยู่โพธิ์ 2516 : 1)ความหมายของคําว่า นาฏศิลป์ที่ได้กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า หมายถึงศิลปะในการฟ้อนรําที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นจากธรรมชาติและจากความคํานึงด้วยความประณีตงดงาม มีความวิจิตรบรรจง นาฏศิลป์ นอกจากจะหมายถึงท่าทางแสดงการฟ้อนรําแล้ว ยังประกอบด้วยการขับร้องที่เรียกว่า คีตศิลป์และการบรรเลงดนตรีคือดุริยางคศิลป์เพื่อให้ศิลปะการฟ้อนรํานั้นงดงามประทับใจ
                       สุนทรียะทางนาฏศิลป์สากลจึงหมายถึง ความวิจิตรงดงามของการแสดงนาฏศิลป์สากล ซึ่งประกอบไปด้วย ระบํา รํา ฟ้อน ละคร อันมีลีลาท่ารําและการเคลื่อนไหวที่ประกอบดนตรี บทร้องตามลักษณะและชนิดของการแสดงแต่ละประเภท

พื้นฐานความเป็นมาของนาฏศิลป์ไทย
                   นาฏศิลป์มีรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกัน ทั้งที่เป็นการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรําและการแสดงในรูปแบบของละคร แต่ละประเภทจึงแตกต่างดัน ดังนี้
                    1. นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปแบบของการฟ้อนรํา เกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายในโลก เมื่อมีความสุขหรือความทุกข์ก็แสดงกิริยาอาการออกมาตามอารมณ์และความรู้สึกนั้น ๆ โดยแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางเคลื่อนไหว มือ เท้า สีหน้า และดวงตาที่เป็นไปตามธรรมชาติ รากฐานการเกิดนาฏศิลป์ในรูปแบบของการฟ้อนรําพัฒนาขึ้นมาเป็นลําดับดังนี้
                        1.1 เพื่อใช้เป็นพิธีกรรมทางศาสนา มนุษย์เชื่อว่ามีผู้ดลบันดาลให้เกิดความวิบัติต่าง ๆ หรือเชื่อว่ามีผู้ที่สามารถบันดาลความสําเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิตของตน ซึ่งอาจเป็นเทพเจ้าหรือปีศาจตามความเชื่อของแต่ละคนจึงมีการเต้นรําหรือฟ้อนรํา เพื่อเป็นการอ้อนวอนหรือบูชาต่อผู้ที่ตนเชื่อว่ามีอํานาจดังกล่าวสมเด็จเจ้าพระยาดํารงราชานุภาพฯ ได้อธิบายในหนังสือตําราฟ้อนรําว่า ชาติโบราณทุกชนิดถือการเต้นรําหรือฟ้อนรําเป็นประจําชีวิตของทุกคน และยังถือว่าการฟ้อนรําเป็นพิธีกรรมทางศาสนาด้วย สําหรับประเทศอินเดียนั้นมีตําราฟ้อนรําฝึกสอนมาแต่โบราณกาล เรียกว่า คัมภีร์นาฏศิลป์ศาสตร์
                        1.2 เพื่อใช้ในการต่อสู้และการทําสงคราม เช่น ตําราคชศาสตร์ เป็นวิชาชั้นสูง สําหรับการทําสงครามในสมัยโบราณ ผู้ที่จะทําสงครามบนหลังช้างจําเป็นต้องฝึกหัดฟ้อนรําให้เป็นที่สง่างามด้วย แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทรงฝึกหัดการฟ้อนรําบนหลังช้างในการทําสงครามเช่นกัน
                        1.3 เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง การพักผ่อนหย่อนใจเป็นความต้องการของมนุษย์ ในเวลาว่าง จากการทํางานก็จะหาสิ่งที่จะทําให้ตนและพรรคพวกได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินคลายความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากการร้องรําทําเพลงเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นจึงมีการรวมกลุ่มกันร้องเพลงและร่ายรําไปตามความพอใจของพวกตน ซึ่งอาจมีเนื้อร้องที่มีสําเนียงภาษาของแต่ละท้องถิ่น และท่วงทํานองเพลงที่เป็นไปตามจังหวะประกอบท่าร่ายรําแบบง่าย ๆ ซึ่งได้พัฒนาต่อมาจนเกิดเป็นการแสดงนาฏศิลป์รูปแบบของการฟ้อนรําของแต่ละท้องถิ่นเรียกว่า รําพื้นเมือง
                  2. นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปแบบของละคร มีรากฐานมาจากความต้องการของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมนุษย์ที่เป็นความประทับใจ ซึ่งสมควรแก่การจดจํา หรืออาจมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนาและสอนศีลธรรม เพราะการสร้างในรูปแบบของละครเป็นวิธีการที่ง่ายต่อความเข้าใจแต่ยากที่จะใช้การเผยแพร่และอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการอื่น จึงมีการสร้างเรื่องราวหรือบันทึกเหตุการณ์อันน่าประทับใจและมีคุณค่านั้นไว้เป็นประวัติศาสตร์ในรูปแบบของการแสดงละคร เพราะเชื่อว่าการแสดงละครเป็นวิธีหนึ่งของการสอนคติธรรม โดยบุคลาธิษฐานในเชิงอุปมาอุปมัย
                     อาจกล่าวได้ว่ารากฐานการเกิดของนาฏศิลป์ไทยตามข้อสันนิษฐานที่ได้กล่าวมานั้นทั้งการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรํา และการแสดงในรูปแบบของการละครได้พัฒนาขึ้นตามลําดับ จนกลายเป็นแบบแผนของการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่มีความเป็นเอกลักษณ์เด่นชัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น