ใบความรู้ ที่ 2
สุนทรียะทางนาฏศิลป์
ความหมายสุนทรียะทางนาฏศิลป์
สุนทรียะ (Aesthetic) หมายถึง ความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งสวยงาม
รูปลักษณะอันประกอบด้วยความสวยงาม(พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 :
541)นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของคําว่า “สุนทรียะ”ไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
*หลวงวิจิตรวาทการ
ได้อธิบายความหมายไว้ว่า ความรู้สึกธรรมดาของคนเรา
ซึ่งรู้จักคุณค่าของวัตถุที่งามความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเสียงและถ้อยคําไพเราะ
ความรู้สึกความงามที่เป็นสุนทรียภาพนี้ย่อมเป็นไปตามอุปนิสัยการอบรมและการศึกษาของบุคคล
ซึ่งรวมเรียนว่า รส (Taste)
ซึ่งความรู้สึกนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการฝึกฝนปรนปรือในการอ่าน
การฟัง และการพินิจดูสิ่งที่งดงามไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือศิลปะ(หลวงวิจิตรวาทการ
2515 : 7 – 12)
*อารี สุทธิพันธุ์
ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ “สุนทรียศาสตร์”ไว้ 2 ประการ ดังนี้
1.
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของมนุษย์
ซึ่งทําให้มนุษย์เกิดความเบิกบานใจอิ่มเอมโดยไม่หวังผลตอบแทน
2.
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิชาที่มนุษย์สร้างขึ้นทุกแขนง นําข้อมูลมาจัดลําดับเพื่อนเสนอแนะให้เห็นคุณค่าซาบซึ้งในสิ่งที่แอบแฝงซ่อนเร้น
เพื่อสร้างความนิยมชมชื่นร่วมกัน ตามลักษณะรูปแบบของผลงานนั้น ๆ (อารีสุทธิพันธุ์, 2534: 82)
ความหมายของคําว่า “สุนทรียะ” หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีความซาบซึ้ง
และเห็นคุณค่าในสิ่งดีงาม และไพเราะจากสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
หรืออาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีต
ซึ่งมนุษย์สัมผัสและรับรู้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความพึงพอใจ
ความประทับใจและทําให้เกิดความสุขจากสิ่งที่ตนได้พบเห็นและสัมผัส
ความหมายของคําว่า “นาฏศิลป์” หมายถึง ศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรํา
(พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2534 : 279)
นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของคําว่า “นาฏศิลป์”ไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้
*ธนิต อยู่โพธิ์
ได้แปลคําว่า “นาฏศิลป์”ไว้ว่า
คือความช่ำชองในการละครฟ้อนรําด้วยมีความเห็นว่าผู้ที่มีศิลปะที่เรียกว่า
ศิลปินจะต้องเป็นผู้มีฝีมือมีความช่ําชองชํานาญในภาคปฏิบัติให้ดีจริง ๆ (ธนิต
อยู่โพธิ์ 2516 : 1)ความหมายของคําว่า “นาฏศิลป์” ที่ได้กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า หมายถึงศิลปะในการฟ้อนรําที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นจากธรรมชาติและจากความคํานึงด้วยความประณีตงดงาม
มีความวิจิตรบรรจง นาฏศิลป์ นอกจากจะหมายถึงท่าทางแสดงการฟ้อนรําแล้ว
ยังประกอบด้วยการขับร้องที่เรียกว่า คีตศิลป์และการบรรเลงดนตรีคือ“ดุริยางคศิลป์” เพื่อให้ศิลปะการฟ้อนรํานั้นงดงามประทับใจ
“สุนทรียะทางนาฏศิลป์สากล”จึงหมายถึง ความวิจิตรงดงามของการแสดงนาฏศิลป์สากล ซึ่งประกอบไปด้วย ระบํา
รํา ฟ้อน ละคร อันมีลีลาท่ารําและการเคลื่อนไหวที่ประกอบดนตรี
บทร้องตามลักษณะและชนิดของการแสดงแต่ละประเภท
พื้นฐานความเป็นมาของนาฏศิลป์ไทย
นาฏศิลป์มีรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกัน
ทั้งที่เป็นการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรําและการแสดงในรูปแบบของละคร
แต่ละประเภทจึงแตกต่างดัน ดังนี้
1.
นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปแบบของการฟ้อนรํา เกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายในโลก
เมื่อมีความสุขหรือความทุกข์ก็แสดงกิริยาอาการออกมาตามอารมณ์และความรู้สึกนั้น ๆ
โดยแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางเคลื่อนไหว มือ เท้า สีหน้า
และดวงตาที่เป็นไปตามธรรมชาติ รากฐานการเกิดนาฏศิลป์ในรูปแบบของการฟ้อนรําพัฒนาขึ้นมาเป็นลําดับดังนี้
1.1
เพื่อใช้เป็นพิธีกรรมทางศาสนา มนุษย์เชื่อว่ามีผู้ดลบันดาลให้เกิดความวิบัติต่าง ๆ
หรือเชื่อว่ามีผู้ที่สามารถบันดาลความสําเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิตของตน
ซึ่งอาจเป็นเทพเจ้าหรือปีศาจตามความเชื่อของแต่ละคนจึงมีการเต้นรําหรือฟ้อนรํา
เพื่อเป็นการอ้อนวอนหรือบูชาต่อผู้ที่ตนเชื่อว่ามีอํานาจดังกล่าวสมเด็จเจ้าพระยาดํารงราชานุภาพฯ
ได้อธิบายในหนังสือตําราฟ้อนรําว่า
ชาติโบราณทุกชนิดถือการเต้นรําหรือฟ้อนรําเป็นประจําชีวิตของทุกคน
และยังถือว่าการฟ้อนรําเป็นพิธีกรรมทางศาสนาด้วย
สําหรับประเทศอินเดียนั้นมีตําราฟ้อนรําฝึกสอนมาแต่โบราณกาล เรียกว่า “คัมภีร์นาฏศิลป์ศาสตร์”
1.2
เพื่อใช้ในการต่อสู้และการทําสงคราม เช่น ตําราคชศาสตร์ เป็นวิชาชั้นสูง
สําหรับการทําสงครามในสมัยโบราณ ผู้ที่จะทําสงครามบนหลังช้างจําเป็นต้องฝึกหัดฟ้อนรําให้เป็นที่สง่างามด้วย
แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทรงฝึกหัดการฟ้อนรําบนหลังช้างในการทําสงครามเช่นกัน
1.3
เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง การพักผ่อนหย่อนใจเป็นความต้องการของมนุษย์ ในเวลาว่าง จากการทํางานก็จะหาสิ่งที่จะทําให้ตนและพรรคพวกได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินคลายความเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากการร้องรําทําเพลงเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
ดังนั้นจึงมีการรวมกลุ่มกันร้องเพลงและร่ายรําไปตามความพอใจของพวกตน
ซึ่งอาจมีเนื้อร้องที่มีสําเนียงภาษาของแต่ละท้องถิ่น
และท่วงทํานองเพลงที่เป็นไปตามจังหวะประกอบท่าร่ายรําแบบง่าย ๆ
ซึ่งได้พัฒนาต่อมาจนเกิดเป็นการแสดงนาฏศิลป์รูปแบบของการฟ้อนรําของแต่ละท้องถิ่นเรียกว่า
“รําพื้นเมือง”
2.
นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปแบบของละคร มีรากฐานมาจากความต้องการของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมนุษย์ที่เป็นความประทับใจ
ซึ่งสมควรแก่การจดจํา
หรืออาจมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนาและสอนศีลธรรม
เพราะการสร้างในรูปแบบของละครเป็นวิธีการที่ง่ายต่อความเข้าใจแต่ยากที่จะใช้การเผยแพร่และอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการอื่น
จึงมีการสร้างเรื่องราวหรือบันทึกเหตุการณ์อันน่าประทับใจและมีคุณค่านั้นไว้เป็นประวัติศาสตร์ในรูปแบบของการแสดงละคร
เพราะเชื่อว่าการแสดงละครเป็นวิธีหนึ่งของการสอนคติธรรม
โดยบุคลาธิษฐานในเชิงอุปมาอุปมัย
อาจกล่าวได้ว่ารากฐานการเกิดของนาฏศิลป์ไทยตามข้อสันนิษฐานที่ได้กล่าวมานั้นทั้งการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรํา
และการแสดงในรูปแบบของการละครได้พัฒนาขึ้นตามลําดับ
จนกลายเป็นแบบแผนของการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่มีความเป็นเอกลักษณ์เด่นชัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น